1.อธิบายส่วนประกอบต่าง ๆ ของ cd-rom
CD-ROM (Compact Discs Read Only Memory) |
CD-ROM (Compact Discs Read Only Memory) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะข้อมูลทางด้าน Multimedia เนื่องจาก Multimedia ต้องใช้สื่อเป็นจำนวนมาก เช่น ภาพ และ เสียง สิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็น ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ถ้ามีการเก็บรูปภาพเป็นจำนวนมาก และเสียงที่มีความยาวนานๆ เข่น Music Video ที่มีความยาวประมาณ 3-4 นาที จะต้องใช้เนื้อที่ในการเก็บถึง 50 MB หรือ บางไฟล์อาจจะเล็ก/ใหญ่ กว่าได้ ดังนั้นข้อมูลเหล่านี้โดยมาก จึงถูกเก็บไว้ใน CD-ROM ซึ่งมีความสามารถในการบันทึกข้อมูลได้มาก ซึ่งแผ่น CD-ROM จะมี 2 ขนาดความจุข้อมูล คือ
แผ่น CD เป็นแผ่นพลาสติกเคลือบ ลักษณะวงกลม มีช่องตรงกลาง ขนาด 4.8 นิ้ว (12 cm.) หนา 1.2 มิลลิเมตร ประกอบด้วย - แผ่นพลาสติกทำจากสาร polycarbonate
สารอลูมิเนียม (aluminum) ซึ่งฉีดลงบนแผ่นพลาสติก polycarbonate ให้มีลักษณะเป็นร่องๆ
- สารอคีลิค (acrylic) เคลือบบน Aluminium เพื่อป้องกันผิว
- เลเบล (Label) ซึ่งมักจะเป็นสีเคลือบบน Acrylic อีกที เพื่อแสดงตราการค้า หรือรูปภาพต่างๆ
แผ่น CD มี Track เพียง Track เดียว ไม่เหมือนกับแผ่นดิสก์ที่ประกอบด้วย Track หลาย Track โดยจะหมุนจากด้านในออกสู่ด้านนอก ทำให้แผ่น CD มีขนาดเล็กกว่า 12 cm. ได้ แผ่น CD ในปัจจุบัน มีขนาดเล็ก เรียกว่า Mini CD-R มีความจุอย่างต่ำ 2 MB เป็นต้น วงของ Track จะมีระยะห่างกัน 1.6 ไมครอน (Micron) โดย Track จะถูกแบ่งเป็นท่อนเล็กๆ (Bump) เรียงกันเป็นแถว แต่ละท่อนมีความกว้าง 0.5 ไมครอน ยาว 0.83 ไมครอน และสูง 125 นาโนเมตร (nanometers) ถ้านำ Bump แต่ละท่อน มาต่อเรียงกัน จะได้ความยาว 3 กิโลเมตรเลยน่ะคับ ต่อแผ่น CD 1 แผ่น หลักการทำงานของซีดีรอม หลักการทำงานของซีดีรอม คือการใช้ลำแสงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูล แผ่นซีดีรอมทำมาจากแผ่นพลาสติกเคลือบด้วยอะลูมิเนียม เพื่อสะท้อนแสดงเลเซอร์ที่ยิงมา เมื่อแสงเลเซอร์ที่ยิงมาสะท้อนกลับไปที่ตัวอ่านข้อมูลที่เรียกว่า Photo Detector โดยทางด้านล่างของ ซีดีรอมก็จะมีลักษณะเป็นหลุม เรียกว่า พิท ซึ่งแต่ละหลุมจะมีขนาดเล็กมาก ประมาณ 1.6 ไมครอน (1.6/1000000 เมตร) ถ้าตัวกำเนิดแสงเลเซอร์ ยิงแสงเลเซอร์ไปบนแผ่นแล้ว การสะท้อนแสงเลเซอร์ ของบริเวณที่มีหลุม กับไม่มีหลุมก็จะแตกต่างกัน ดังนั้นค่าที่อ่านได้ จาก ตัว Photo Dectector ก็จะแตกต่างกัน และแผงวงจรภายในก็จะเปลียนให้เป็นสัญญาณ 0 กับ 1 เพื่อส่งไปให้กับซีพียูนำไปประมวลผลต่อไป
ความเร็วที่ใช้วัดประสิทธิภาพของไดร์ฟซีดีรอม นั้นจะใช้วิธีการเทียบจากความเร็วมาตรฐาน ซึ่งความเร็วมาตรฐาน จำนวนข้อมูลที่สามารถส่งถ่าย จากแผ่นซีดีรอมออกมา เป็นสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งในการผลิตซีดีรอมขึ้นมาครั้งแรก ได้มีการกำหนดมาตรฐาน ของการถ่ายโอนข้อมูลไว้ที่ 150 KBps ซึ่งในปัจจุบันนี้จะมีการวัดค่าโดยการเทียบความเร็วจากความเร็วมาตรฐาน เช่นซีดีรอม 4X ก็จะมีความเร็วที่เร็ว กว่ามาตรฐาน 4 เท่า ซึ่งก็จะมีการถ่ายโอนข้อมูลที่ 600 Kbps นั่นเอง |
2.หาเนื้อหาต่าง ๆ เีกี่ยวกับ cd-rom เช่น cd-rw , dvd-rom , dvd-rw , blu-ray
ประวัติความเป็นมา
ก้าวสู่มิติใหม่กับมาตรฐาน CD Recordable (CD-R) ในขณะที่ข้อจำกัด ของซีดีรอมก็คือ มันสามารถใช้อ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น และเนื่องจากทุกคน ไม่มีเครื่องปั๊มแผ่นซีดีเป็นของตัวเองและถึงมีก็เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่จะผลิตออกมาทีละแผ่นสองแผ่นส่วนใหญ่การปั๊มแผ่นซีดีครั้งหนึ่งๆนั้นไม่ควรจะต่ำกว่าหนึ่งพันแผ่นขึ้นไป และถ้าเทียบเป็นเงินก็สูงถึงหลายพันดอลล่าร์ ในปี ค.ศ. 1990 ลักษณะ และมาตรฐานของแผ่นซีดี ที่สามารถบันทึกได้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของมาตรฐานใหม่ที่เรียกว่า orange book ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ โดยบริษัทฟิลิปส์ CD-R นั้นบางครั้งถูกเรียกว่า CD-WORM หรือ CD-WO หมายถึง เขียนเพียงครั้งเดียวหรือ write once และ WORM มาจากคำว่า write once read many ทั้งสองชื่อนี้สะท้อนให้เห็นสภาพของสื่อ ที่นำมาผลิตแผ่นซีดี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป สามารถสร้างไฟล์เพลง หรือซีดีข้อมูล ในหลากหลายรูปแบบได้ด้วยตนเอง ซึ่งแผ่นซีดีดังกล่าวน ี้สามารถอ่านได้ด้วยเครื่องเล่นซีดีทั่วไป หรือไดรฟ์ซีดีรอม ในราคาที่สมเหตุสมผล
มาตรฐาน write once เริ่มต้นจากแผ่นซีดีเปล่า ซึ่งถูกเขียนข้อมูลต่างๆ ลงไปได้เพียงครั้งเดียว เป็นข้อมูลที่ถาวร และไม่สามารถเขียนข้อมูลต่างๆ ซ้ำได้ แผ่น CD-R จะมีขนาด และลักษณะเช่นเดียวกับแผ่นซีดีทั่วไป แต่ด้านที่บันทึกข้อมูล จะเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นสารชนิดพิเศษ ส่วนอีกด้านหนึ่ง จะมีสีทองซึ่งมีคุณสมบัติสามารถสะท้อนแสงได้ดี ซึ่งจะมีผลให้สามารถอ่านข้อมูลให้ดีอีกด้วย ในอดีตทั้งไดร์ฟและแผ่น CD-R มีราคาแพงมาก แต่ปัจจุบันราคาของทั้งสองสิ่งนี้ ได้ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้ CD-R กลายเป็นสื่อที่ได้รับความนิยม สำหรับการบันทึกโปรแกรม หลายๆโปรแกรมรวม ทั้งการแจกจ่ายซอฟต์แวร์, การบันทึกสำรองข้อมูล, การบันทึกไฟล์เสียง และอื่นๆ
เรียนรู้เทคโนโลยีไดรฟ์ CD-R
ไดรฟ์นี้แตกต่างจากเครื่องเล่นซีดีทั่วไปด้วยเลเซอร์ชนิดพิเศษมีความสามารถทั้งในการอ่าน และเขียนแผ่นซีดี แน่นอนว่ามันสนับสนุนมาตรฐานของแผ่นซีดีเกือบทุกชนิด โดยความเร็ว ในการเขียน จะต่ำกว่าความเร็วในการอ่านมากพอสมควร ตัวอย่างเช่นไดรฟ์รุ่นหนึ่ง จะถูกระบุสเปคว่าอ่านได้ 24X แต่เขียนได้แค่ 6X มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ SCSI(ได้กล่าวถึงในเนื้อหาเรื่องซีดีรอม) เป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้กันในไดรฟ์ CD-R เหตุผลคือ SCSI เป็นมาตรฐาน การเชื่อมต่อสมรรถนะสูง ซึ่งอนุญาตให้การถ่ายเทของข้อมูลไปสู่ไดรฟ์เป็นไปอย่างง่ายดาย และเป็นอิสระไม่ว่าขณะนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ กำลังทำงานใดๆ อยู่ก็ตาม นี่คือจุดที่สำคัญสำหรับการเขียน CD-R เพราะว่าการเขียนข้อมูล นั้นจะต้องไม่มีสิ่งใดมาขัดจังหวะ ไม่ว่าการขัดจังหวะนั้น จะมาจากส่วนใดในระบบคอมพิวเตอร์ก็ตาม (ส่วนมากมาจากฮาร์ดดิสก์) แต่เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้ไดรฟ์ CD-R ในปัจจุบันนี้นิยมใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ ATAPI หรือ IDE เนื่องจาก ตัวยิงแสงเลเซอร์ที่อยู่ในไดรฟ์ CD-R จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ ขณะที่มีการเขียนข้อมูล จำเป็นที่ข้อมูลนั้น จะต้องรอพร้อมอยู่ด้วย การไหลของข้อมูล ที่ค่อนข้างราบเรียบ โดยการเขียนข้อมูลนั้นจะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถหยุดกลางคันได้ การขัดจังหวะในขณะที่มีเขียนข้อมูล หมายถึงแผ่น CD-R นั้นจะเสียหายในทันที มีไดรฟ์หลายๆตัว ใช้ขั้นตอนพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ หนึ่งในวิธีที่พบเห็นมากคือ การใช้ส่วนสำรองข้อมูลพิเศษ หรือ substantial memory buffer ซึ่งสามารถนำข้อมูลไปสู่หัวลำแสงเลเซอร์ ในกรณีที่การไหลของข้อมูลนั้น ถูกจังหวะ วิธีแก้ไขปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือการใช้ image file แทนที่จะทำการคัดลอก ข้อมูลที่จะถูกบันทึกไปสู่แผ่น CD-R ในทันทีก็จะเปลี่ยนเป็นการสร้างและบันทึกไว้ในไฟล์ขนาดใหญ่บนฮาร์ดดิสก์ก่อนเป็นลำดับแรกและจากนั้นจึงทำการโอนย้ายข้อมูลทั้งหมด ไปสู่แผ่น CD-R ต่อไปนี่จะเป็นการลดโอกาสที่ถูกขัดจังหวะขณะที่ทำการเขียนแต่แน่นอนว่า จะสูญเสียเนื้อที่ของฮาร์ดดิสก์ไปส่วนหนึ่ง แน่นอนสำหรับผู้ใช้หลายๆรายคงพบความยากลำบาก ในการติดตั้งและใช้ไดรฟ์ CD-Rในครั้งแรกๆโดยกว่าจะทำให้อุปกรณ์ชนิดนี้ทำการเขียนแผ่นได้อย่างสมบูรณ์ก็อาจจะต้องเสียแผ่นเปล่าไปเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามหากมีความชำนาญมากขึ้นแล้วไดรฟ์ CD-R เป็นสื่อที่เชื่อถือได้ ในความแน่นอนที่อนุญาตให้ผู้ใช้สร้างดิสก์จำนวนมากๆ และสูญเสียน้อยที่สุด
คุณลักษณะเฉพาะของแผ่น CD-RW
แผ่น CD-RW นั้นเป็นสื่อที่มีความคล้ายคลึงกับแผ่น CD-R มากกว่าจะคล้ายกับแผ่น CD-ROM ทั่วไปเทคโนโลยีของ CD-RW นั้นถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานเดียวกับ CD-R แต่ชั้นที่ใช้บันทึกข้อมูลของ CD-RW นั้นจะต่างกับชั้นที่ใช้บันทึกข้อมูลของ CD-R โดย CD-RW นั้นจะใช้ส่วนผสมทางเคมี ซึ่งสามารถเปลี่ยนสถานะไปในรูปร่างต่างๆ เมื่อได้รับพลังงานที่แตกต่างกันไปเหมือนกับวิธีที่น้ำเปลี่ยนแปลงสถานะตามอุณหภูมิที่ตัวมันได้รับ โดยกลายเป็นไอเมื่อได้รับความร้อน หรือเปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นแข็ง เมื่อได้รับความเย็น (มีสารเคมีบางชนิด ที่ไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวมัน หลังจากได้รับความร้อน หรือสภาวะอื่นๆ หากแต่ยังคงสภาพนั้นไว้อย่างเดิม แม้เมื่อไม่ได้รับความร้อนแล้วนอกจากนั้น มันยังสามารถกลับสู่สภาพเดิม
ได้ด้วยกระบวนการ ที่แตกต่างกันออกไป
สารที่ใช้ในแผ่น CD-RW นั้นมีคุณสมบัติพิเศษ เมื่อได้รับความร้อนไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้วถูกทำให้เย็นตัวลง สารนี้จะกลายเป็นผลึก แต่ถ้าเรายังทำให้มัน ได้รับความร้อนในอุณหภูมิที่สูงขึ้นไปอีก และถูกทำให้เย็นอีกครั้ง มันจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ที่ไม่เป็นผลึกอีกต่อไป (โลหะส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติเช่นนี้ โดยในความจริงแล้ว ชนิดของโลหะที่แตกต่างกัน จะถูกสร้างโดยการควบคุมความเย็น และความร้อน เพื่อแก้ไขโครงสร้างภายในของตัวมันเอง) เมื่อส่วนที่เป็นสารดังกล่าว กลายเป็นผลึกมันจะสะท้อนแสงได้มากกว่าเดิม ดังนั้นสถานะที่เป็นผลึกนี้ จะคล้ายกับส่วนที่เป็น land และในสถานะที่ไม่เป็นผลึก จะคล้ายกับส่วนของ pits โดยการใช้ความเข้มข้น ของกำลังแสงเลเซอร์ที่แตกต่างกัน ความสามารถ ในการเปลี่ยนแปลงสภาพสาร จากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่ง จะช่วยให้เราสามารถทำการเขียนซ้ำ ลงบนแผ่นซีดีแผ่นเดียวกันได้ ไดรฟ์ CD-RW และซอฟแวร์ ไดรฟ์ CD-RW จะคล้ายคลึงกับ ไดรฟ์ CD-R ยกเว้นแต่ในเรื่องที่มันใช้ ชนิดของเลเซอร์หลายชนิด เพื่อรองรับให้มันสามารถเขียนแผ่น CD-RW ได้หลายรูปแบบ นอกจากนั้น ไดรฟ์ CD-RW ยังสามารถเขียนแผ่น ไดรฟ์ CD-R ได้ ยิ่งทำให้มันมีความยืดหยุ่นมากขึ้นโดยไดรฟ์ CD-RW นั้นจะถูกจัดการ โดยใช้ซอฟแวร์ที่มีพื้นฐานคล้ายกับ ซอฟแวร์ที่ใช้กับไดรฟ์ CD-R นั่นเอง
DVD-ROM
เป็นอุปกรณ์ Optical Drive สำหรับอ่านข้อมูลได้ทั้งแผ่น CD-R และ DVD ปัจจุบัน (พ.ย.2005) มาตรฐานความเร็วมาหยุดอยู่ที่ 16X แต่ความเร็วที่ 16X นี้ ถือเป็นความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ที่เร็วมาก รายละเอียดความเร็วดูที่ Combo Drive ในข้อที่ 4
สำหรับ DVD Drive ก็รองรับการอ่าน Disc ขนาดมาตรฐานเช่นเดียวกับ CD-ROM ที่มีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 และ 12 เซนติเมตร
Blu Ray ก็คือเทคโนโลยีใหม่ของเครื่องเล่นและแผ่นที่สามารถให ้รายละเอียดของภาพและเสียงในระดับสูง (High Definition) ได้ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้บลูเลย์จะเข้ามาแทนที่ดีวีดีBlu-ray หรือ Blu-ray Disc คือ
Blu-ray หรือ Blu-ray Disc (BD)เป็นชื่อของเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่สำหรับออฟติคอลด ิสก์ ที่ถูกผลักดันให้มาแทนมาตรฐาน DVD ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดย Blu-ray นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอรายละ เอียดสูง high-definition video (HD) หรือใช้เก็บไฟล์ข้อมูลได้มากกว่า DVD หลายเท่าตัว ซึ่ง Blu-ray แบบ single-layer นั้นจะมีเนื้อที่เก็บข้อมูล 25GB ส่วนแบบ double-layer นั้น จะเก็บข้อมูลได้สูงถึง 50GB เลยทีเดียว
โดยจะช่วยให้ภาพยนตร์ต่างๆที่ถูกบันทึกลงแผ่นดิสก์ Blu-ray นั้นมีรายละเอียดต่างๆทั้งด้านภาพ และเสียงสูงกว่า DVD ขึ้นไปอีก ส่วนที่มาของชื่อ Blu-ray นั้นจะมาจากการที่ใช้แสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์ แทนการใช้แสงเลเซอร์สีแดงเหมือนกับ DVD ซึ่งแสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงนั้นจะมีความยาวของคลื่น 405nm ที่สั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดง ที่มีความยาวคลื่น 650nm ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงไปในแผ่นดิสก์ได้มากขึ้นใน เนื้อที่เท่าเดิม โดยว่ากันคร่าวๆแล้ว Blu-ray จะสามารถเก็บวิดีโอความละเอียดสูงได้นานถึง 9ชั่วโมงในแผ่นดิสก์แบบ double-layer และสามารถเก็บไฟล์วิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้ใน DVD ปัจจุบันนี้ได้นานต่อเนื่องถึง 23ชั่วโมงเลยทีเดียว รวมถึงบันทึกความละเอียดสูงด้วยมาตรฐานใหม่ๆได้ด้วย
ใครเป็นผู้พัฒนามาตรฐาน Blu-ray?
Blu-ray เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) กลุ่มสมาคมที่เป็นการรวมตัวระหว่างบริษัทผู้ผลิตเครื ่องใช้ไฟฟ้า, บริษัทด้านไอทีรายยักษ์ รวมถึงสตูดิโอภาพยนตร์ และบริษัทในวงการอื่นๆ เช่น Apple Computer, Inc., Dell Inc., Hewlett Packard Company, Hitachi, Ltd., LG Electronics Inc., Matsushita Electric Industrial Co., Ltd., Mitsubishi Electric Corporation, Pioneer Corporation, Royal Philips Electronics, Samsung Electronics Co., Ltd., Sharp Corporation, Sony Corporation, TDK Corporation, Thomson Multimedia, Twentieth Century Fox, Walt Disney Pictures, Warner Bros. Entertainment ซึ่งแน่นอนบริษัทเหล่านี้จะร่วมกันผลักดันมาตรฐาน Blu-ray ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดแน่ๆเพื่อที่จะผลิตสินค้าที่ใ ช้เทคโนโลยี Blu-ray ออกมาจำหน่าย เช่น Sony ก็จะนำ Blu-ray ไปใช้กับเครื่องเล่นเกม PlayStation 3 ที่จะส่งออกจำหน่ายในเร็วๆนี้
นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆสำหรับ Blu-ray แต่แน่นอน Blu-ray ไม่ใช่เป็นตัวเลือกของมาตรฐานใหม่ที่จะมาแทน DVD ในขณะนี้แน่ๆ มาตรฐานอีกมาตรฐานที่มีการส่งเข้าต่อสู้ในตลาดนั้นจะ เป็น HD-DVD ที่พัฒนาโดย Toshiba และ NEC ซึ่งจะมีข้อดีกว่าตรงที่อุปกรณ์ต่างๆนั้นจะมีต้นทุนท ี่ต่ำกว่า Blu-ray แต่ก็จะมีความจุข้อมูลที่น้อยกว่าเช่นกัน เนื่องจากยังใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์สีแดงในการอ่าน และเขียนข้อมูลอยู่ ก็คงต้องรอดูกันสักพักว่าเทคโนโลยีของค่ายไหนที่จะมา แรงกว่ากัน และขึ้นแท่นแทน DVD ได้ในที่สุด
วิวัฒนาการก่อนที่จะมาเป็น Blu Ray
ตอนเริ่มแรกสุดเมื่อสมัยยังเด็กๆ ก็จะมีเครื่องเล่นวีดีโอเทปที่สามารถเล่นม้วนเทปได้ (VHS) หลังจากนั้นก็มีเครื่องเล่น VCD เข้ามาในตลาด ด้วยไซส์,ขนาด,และราคาของ VCD ทำให้เครื่องเล่นวีดีโอเทปในเวลานั้นแทบสูญพันธุ์ หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องเล่น DVD Player ก็เข้ามาสู่ตลาด ซึ่งเครื่องเล่น DVD ราคาก็ลดลงมาอย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถเล่นได้ทั้งแผ่น DVD และ VCD จึงทำให้เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และในอนาคตอันใกล้นี้เครื่องเล่น Blu Ray และ แผ่น Blu Ray ก็จะเข้ามาแทนที่ DVD ครับ ซึ่งตอนนี้ในท้องตลาดมีขายเครื่องเล่น Blu Ray Player กันหลายยี่ห้อแล้ว เช่น Sony, Pioneer, Sharp, Panasonic, Samsung, LG สนนราคาตั้งแต่ประมาณหลักหมื่นจนถึงเดือบแสน รวมถึงแผ่น Blu Ray ที่วางจำหน่ายหลายเรื่อง ราคาประมาณพันบาท ซึ่งคุณภาพของภาพที่ได้มีความคมชัดกว่า DVD และที่สำคัญที่สุด LCD TV และ Plasma TV แทบทุกรุ่นในปัจจุบัน รองรับ Blu Ray กันหมดแล้ว นั้นหมายความว่า Blu Ray มาแน่นอนครับ
Blu Ray ดีกว่า DVD อย่างไร
1. ความจุมากกว่า
- Single Layer: Blu Ray 25 GB VS 4.7 GB DVD
- Dual Layer: Blu Ray 50 GB VS 8.5 GB DVD
2. ภาพระดับ High Definition คมชัดกว่า
- ความละเอียดภาพของ Blu Ray อยู่ที่ 1080p (1080 เส้น) ในขณะที่ DVD อยู่ที่ 576p (576เส้น)
3. เสียงระดับ High Definition ไม่มีการบีบอัด
- เสียง High Definition อย่าง Dolby True HD (ตัวท็อปของค่าย Dolby) และ DTS HD Master (ตัวท็อปของค่าย DTS) ซึ่งจะหาได้จากแผ่น Blu Ray
4. เคื่องเล่น Blu Ray สามารถเล่นแผ่น DVD ได้ แต่เครื่องเล่น DVD ไม่สามารถเล่นแผ่น Blu Ray
DVD-RW
ดีวีดี (DVD; Digital Versatile Disc) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง (optical disc) ที่ใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โดยให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ดี ดีวีดีถูกพัฒนามาใช้แทนซีดีรอม โดยใช้แผ่นที่มีขนาดเดียวกัน (เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร) แต่ว่าใช้การบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน และความละเอียดในการบันทึกที่หนาแน่นกว่า
เดิมทีดีวีดีมาจากชื่อย่อว่า digital video disc แต่ในภายหลังผู้ผลิตบางรายเห็นว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น digital versatile disc ปัจจุบันตามคำนิยามอย่างเป็นทางการแล้ว DVD ไม่ได้ย่อมาจากชื่อเต็มแต่อย่างใด
ความเร็วในการเขียนแผ่นดีวีดี 1x มีค่าเท่ากับ 10.5 Mb/s หรือราวๆ 3.2 MB/s
เครื่องเขียนแผ่นดีวีดี (DVD Writer) คือ เครื่องสำหรับการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดี
คุณสมบัติของดีวีดี
- สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอที่ความละเอียดสูงได้ถึง 120 นาที
- การบีบอัดของวิดีโอในรูปแบบ MPEG-2 นั้นมีอัตราส่วนอยู่ที่ 4 : 0 : 1
- สามารถมีเสียงในฟิล์มได้มากถึง 8 ภาษา โดยในแต่ละภาษาอาจจะเป็นระบบเสียงสเตอริโอ 2.0 ช่อง (รูปแบบ PCM) หรือ ระบบเสียงรอบทิศทาง (เช่น 4.0, 5.1, 6.1 ช่อง) ในรูปแบบ Dolby Digital (AC-3) หรือ Digital Theater System (DTS)
- มีคำบรรยาย (Subtitle) ได้มากสูงสุดถึง 32 ภาษา
- ภาพยนตร์ดีวีดีบางแผ่นนั้น สามารถเปลี่ยนมุมกล้องได้ด้วย (Multiangle)
- ทำภาพนิ่งได้สมบูรณ์เหมือนภาพสไลด์
- ควบคุมระดับสิทธิการเล่น (Parental Lock)
- มีรหัสพื้นที่ใช้งานเฉพาะพื้นที่กำหนด (Regional Codes
คือ สามารถนำกลับมาบันทึกใหม่ ได้กว่า 100,000 ครั้ง แต่ดีวีดีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนี้คือ DVD-R ในการบันทึก DVD แต่ละชนิดนั้นไม่สามารถใช้งานข้ามชนิดได้ คือ ไม่สามารถใช้งานข้ามไดร์ฟได้ เช่น DVD-RW ไม่สามารถใช้งานในเครื่องบันทึก DVD+RW ได้ ต้องเขียนกับเครื่องบันทึก DVD-RW เท่านั้น ส่วนการอ่านข้อมูลใน DVD นั้น สามารถอ่านกับเครื่องไหนก็ได้ เช่น DVD+RW สามารถอ่านกับเครื่องเล่น DVD-RW ได้ ส่วน DVD-RAM เดี๋ยวนี้ไม่นิยมใช้แล้ว
BLU-RAY

Blu Ray ก็คือเทคโนโลยีใหม่ของเครื่องเล่นและแผ่นที่สามารถให ้รายละเอียดของภาพและเสียงในระดับสูง (High Definition) ได้ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้บลูเลย์จะเข้ามาแทนที่ดีวีดี
Blu-ray หรือ Blu-ray Disc คือ
Blu-ray หรือ Blu-ray Disc (BD)เป็นชื่อของเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่สำหรับออฟติคอลด ิสก์ ที่ถูกผลักดันให้มาแทนมาตรฐาน DVD ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดย Blu-ray นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอรายละ เอียดสูง high-definition video (HD) หรือใช้เก็บไฟล์ข้อมูลได้มากกว่า DVD หลายเท่าตัว ซึ่ง Blu-ray แบบ single-layer นั้นจะมีเนื้อที่เก็บข้อมูล 25GB ส่วนแบบ double-layer นั้น จะเก็บข้อมูลได้สูงถึง 50GB เลยทีเดียว
โดยจะช่วยให้ภาพยนตร์ต่างๆที่ถูกบันทึกลงแผ่นดิสก์ Blu-ray นั้นมีรายละเอียดต่างๆทั้งด้านภาพ และเสียงสูงกว่า DVD ขึ้นไปอีก ส่วนที่มาของชื่อ Blu-ray นั้นจะมาจากการที่ใช้แสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์ แทนการใช้แสงเลเซอร์สีแดงเหมือนกับ DVD ซึ่งแสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงนั้นจะมีความยาวของคลื่น 405nm ที่สั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดง ที่มีความยาวคลื่น 650nm ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงไปในแผ่นดิสก์ได้มากขึ้นใน เนื้อที่เท่าเดิม โดยว่ากันคร่าวๆแล้ว Blu-ray จะสามารถเก็บวิดีโอความละเอียดสูงได้นานถึง 9ชั่วโมงในแผ่นดิสก์แบบ double-layer และสามารถเก็บไฟล์วิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้ใน DVD ปัจจุบันนี้ได้นานต่อเนื่องถึง 23ชั่วโมงเลยทีเดียว รวมถึงบันทึกความละเอียดสูงด้วยมาตรฐานใหม่ๆได้ด้วย
ใครเป็นผู้พัฒนามาตรฐาน Blu-ray?
Blu-ray เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) กลุ่มสมาคมที่เป็นการรวมตัวระหว่างบริษัทผู้ผลิตเครื ่องใช้ไฟฟ้า, บริษัทด้านไอทีรายยักษ์ รวมถึงสตูดิโอภาพยนตร์ และบริษัทในวงการอื่นๆ เช่น Apple Computer, Inc., Dell Inc., Hewlett Packard Company, Hitachi, Ltd., LG Electronics Inc., Matsushita Electric Industrial Co., Ltd., Mitsubishi Electric Corporation, Pioneer Corporation, Royal Philips Electronics, Samsung Electronics Co., Ltd., Sharp Corporation, Sony Corporation, TDK Corporation, Thomson Multimedia, Twentieth Century Fox, Walt Disney Pictures, Warner Bros. Entertainment ซึ่งแน่นอนบริษัทเหล่านี้จะร่วมกันผลักดันมาตรฐาน Blu-ray ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดแน่ๆเพื่อที่จะผลิตสินค้าที่ใ ช้เทคโนโลยี Blu-ray ออกมาจำหน่าย เช่น Sony ก็จะนำ Blu-ray ไปใช้กับเครื่องเล่นเกม PlayStation 3 ที่จะส่งออกจำหน่ายในเร็วๆนี้
นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆสำหรับ Blu-ray แต่แน่นอน Blu-ray ไม่ใช่เป็นตัวเลือกของมาตรฐานใหม่ที่จะมาแทน DVD ในขณะนี้แน่ๆ มาตรฐานอีกมาตรฐานที่มีการส่งเข้าต่อสู้ในตลาดนั้นจะ เป็น HD-DVD ที่พัฒนาโดย Toshiba และ NEC ซึ่งจะมีข้อดีกว่าตรงที่อุปกรณ์ต่างๆนั้นจะมีต้นทุนท ี่ต่ำกว่า Blu-ray แต่ก็จะมีความจุข้อมูลที่น้อยกว่าเช่นกัน เนื่องจากยังใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์สีแดงในการอ่าน และเขียนข้อมูลอยู่ ก็คงต้องรอดูกันสักพักว่าเทคโนโลยีของค่ายไหนที่จะมา แรงกว่ากัน และขึ้นแท่นแทน DVD ได้ในที่สุด
วิวัฒนาการก่อนที่จะมาเป็น Blu Ray
ตอนเริ่มแรกสุดเมื่อสมัยยังเด็กๆ ก็จะมีเครื่องเล่นวีดีโอเทปที่สามารถเล่นม้วนเทปได้ (VHS) หลังจากนั้นก็มีเครื่องเล่น VCD เข้ามาในตลาด ด้วยไซส์,ขนาด,และราคาของ VCD ทำให้เครื่องเล่นวีดีโอเทปในเวลานั้นแทบสูญพันธุ์ หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องเล่น DVD Player ก็เข้ามาสู่ตลาด ซึ่งเครื่องเล่น DVD ราคาก็ลดลงมาอย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถเล่นได้ทั้งแผ่น DVD และ VCD จึงทำให้เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และในอนาคตอันใกล้นี้เครื่องเล่น Blu Ray และ แผ่น Blu Ray ก็จะเข้ามาแทนที่ DVD ครับ ซึ่งตอนนี้ในท้องตลาดมีขายเครื่องเล่น Blu Ray Player กันหลายยี่ห้อแล้ว เช่น Sony, Pioneer, Sharp, Panasonic, Samsung, LG สนนราคาตั้งแต่ประมาณหลักหมื่นจนถึงเดือบแสน รวมถึงแผ่น Blu Ray ที่วางจำหน่ายหลายเรื่อง ราคาประมาณพันบาท ซึ่งคุณภาพของภาพที่ได้มีความคมชัดกว่า DVD และที่สำคัญที่สุด LCD TV และ Plasma TV แทบทุกรุ่นในปัจจุบัน รองรับ Blu Ray กันหมดแล้ว นั้นหมายความว่า Blu Ray มาแน่นอนครับ
Blu Ray ดีกว่า DVD อย่างไร
1. ความจุมากกว่า
- Single Layer: Blu Ray 25 GB VS 4.7 GB DVD
- Dual Layer: Blu Ray 50 GB VS 8.5 GB DVD
2. ภาพระดับ High Definition คมชัดกว่า
- ความละเอียดภาพของ Blu Ray อยู่ที่ 1080p (1080 เส้น) ในขณะที่ DVD อยู่ที่ 576p (576เส้น)
3. เสียงระดับ High Definition ไม่มีการบีบอัด
- เสียง High Definition อย่าง Dolby True HD (ตัวท็อปของค่าย Dolby) และ DTS HD Master (ตัวท็อปของค่าย DTS) ซึ่งจะหาได้จากแผ่น Blu Ray
4. เคื่องเล่น Blu Ray สามารถเล่นแผ่น DVD ได้ แต่เครื่องเล่น DVD ไม่สามารถเล่นแผ่น Blu Ray