วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ใบงานที่ 5

1.อธิบายส่วนประกอบต่าง ๆ ของ cd-rom


CD-ROM (Compact Discs Read Only Memory)
CD-ROMCD-ROM (Compact Discs Read Only Memory) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะข้อมูลทางด้าน Multimedia เนื่องจาก Multimedia ต้องใช้สื่อเป็นจำนวนมาก เช่น ภาพ และ เสียง สิ่งเหล่านี้จัดว่าเป็น ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ถ้ามีการเก็บรูปภาพเป็นจำนวนมาก และเสียงที่มีความยาวนานๆ เข่น Music Video ที่มีความยาวประมาณ 3-4 นาที จะต้องใช้เนื้อที่ในการเก็บถึง 50 MB หรือ บางไฟล์อาจจะเล็ก/ใหญ่ กว่าได้ ดังนั้นข้อมูลเหล่านี้โดยมาก จึงถูกเก็บไว้ใน CD-ROM ซึ่งมีความสามารถในการบันทึกข้อมูลได้มาก ซึ่งแผ่น CD-ROM จะมี 2 ขนาดความจุข้อมูล คือ
  • 650 MB
  • 700 MB
แผ่น CD เป็นแผ่นพลาสติกเคลือบ ลักษณะวงกลม มีช่องตรงกลาง ขนาด 4.8 นิ้ว (12 cm.) หนา 1.2 มิลลิเมตร ประกอบด้วย
  • แผ่นพลาสติกทำจากสาร polycarbonate
  • สารอลูมิเนียม (aluminum) ซึ่งฉีดลงบนแผ่นพลาสติก polycarbonate ให้มีลักษณะเป็นร่องๆ
  • สารอคีลิค (acrylic) เคลือบบน Aluminium เพื่อป้องกันผิว
  • เลเบล (Label) ซึ่งมักจะเป็นสีเคลือบบน Acrylic อีกที เพื่อแสดงตราการค้า หรือรูปภาพต่างๆ
Cross-section of a CD
แผ่น CD มี Track เพียง Track เดียว ไม่เหมือนกับแผ่นดิสก์ที่ประกอบด้วย Track หลาย Track โดยจะหมุนจากด้านในออกสู่ด้านนอก ทำให้แผ่น CD มีขนาดเล็กกว่า 12 cm. ได้ แผ่น CD ในปัจจุบัน มีขนาดเล็ก เรียกว่า Mini CD-R มีความจุอย่างต่ำ 2 MB เป็นต้น
CD Track
วงของ Track จะมีระยะห่างกัน 1.6 ไมครอน (Micron) โดย Track จะถูกแบ่งเป็นท่อนเล็กๆ (Bump) เรียงกันเป็นแถว แต่ละท่อนมีความกว้าง 0.5 ไมครอน ยาว 0.83 ไมครอน และสูง 125 นาโนเมตร (nanometers) ถ้านำ Bump แต่ละท่อน มาต่อเรียงกัน จะได้ความยาว 3 กิโลเมตรเลยน่ะคับ ต่อแผ่น CD 1 แผ่น
CD Bumps
หลักการทำงานของซีดีรอม
หลักการทำงานของซีดีรอม คือการใช้ลำแสงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูล แผ่นซีดีรอมทำมาจากแผ่นพลาสติกเคลือบด้วยอะลูมิเนียม เพื่อสะท้อนแสดงเลเซอร์ที่ยิงมา เมื่อแสงเลเซอร์ที่ยิงมาสะท้อนกลับไปที่ตัวอ่านข้อมูลที่เรียกว่า Photo Detector โดยทางด้านล่างของ ซีดีรอมก็จะมีลักษณะเป็นหลุม เรียกว่า พิท ซึ่งแต่ละหลุมจะมีขนาดเล็กมาก ประมาณ 1.6 ไมครอน (1.6/1000000 เมตร) ถ้าตัวกำเนิดแสงเลเซอร์ ยิงแสงเลเซอร์ไปบนแผ่นแล้ว การสะท้อนแสงเลเซอร์ ของบริเวณที่มีหลุม กับไม่มีหลุมก็จะแตกต่างกัน ดังนั้นค่าที่อ่านได้ จาก ตัว Photo Dectector ก็จะแตกต่างกัน และแผงวงจรภายในก็จะเปลียนให้เป็นสัญญาณ 0 กับ 1 เพื่อส่งไปให้กับซีพียูนำไปประมวลผลต่อไป
ความเร็วที่ใช้วัดประสิทธิภาพของไดร์ฟซีดีรอม นั้นจะใช้วิธีการเทียบจากความเร็วมาตรฐาน ซึ่งความเร็วมาตรฐาน จำนวนข้อมูลที่สามารถส่งถ่าย จากแผ่นซีดีรอมออกมา เป็นสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งในการผลิตซีดีรอมขึ้นมาครั้งแรก ได้มีการกำหนดมาตรฐาน ของการถ่ายโอนข้อมูลไว้ที่ 150 KBps ซึ่งในปัจจุบันนี้จะมีการวัดค่าโดยการเทียบความเร็วจากความเร็วมาตรฐาน เช่นซีดีรอม 4X ก็จะมีความเร็วที่เร็ว กว่ามาตรฐาน 4 เท่า ซึ่งก็จะมีการถ่ายโอนข้อมูลที่ 600 Kbps นั่นเอง


2.หาเนื้อหาต่าง ๆ เีกี่ยวกับ cd-rom เช่น cd-rw , dvd-rom , dvd-rw , blu-ray


 CD-RW

ประวัติความเป็นมา

 

ก้าวสู่มิติใหม่กับมาตรฐาน CD Recordable (CD-R) ในขณะที่ข้อจำกัด ของซีดีรอมก็คือ มันสามารถใช้อ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น และเนื่องจากทุกคน ไม่มีเครื่องปั๊มแผ่นซีดีเป็นของตัวเองและถึงมีก็เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่จะผลิตออกมาทีละแผ่นสองแผ่นส่วนใหญ่การปั๊มแผ่นซีดีครั้งหนึ่งๆนั้นไม่ควรจะต่ำกว่าหนึ่งพันแผ่นขึ้นไป และถ้าเทียบเป็นเงินก็สูงถึงหลายพันดอลล่าร์ ในปี ค.ศ. 1990 ลักษณะ และมาตรฐานของแผ่นซีดี ที่สามารถบันทึกได้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของมาตรฐานใหม่ที่เรียกว่า orange book ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ โดยบริษัทฟิลิปส์ CD-R นั้นบางครั้งถูกเรียกว่า CD-WORM หรือ CD-WO หมายถึง เขียนเพียงครั้งเดียวหรือ write once และ WORM มาจากคำว่า write once read many ทั้งสองชื่อนี้สะท้อนให้เห็นสภาพของสื่อ ที่นำมาผลิตแผ่นซีดี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป สามารถสร้างไฟล์เพลง หรือซีดีข้อมูล ในหลากหลายรูปแบบได้ด้วยตนเอง ซึ่งแผ่นซีดีดังกล่าวน ี้สามารถอ่านได้ด้วยเครื่องเล่นซีดีทั่วไป หรือไดรฟ์ซีดีรอม ในราคาที่สมเหตุสมผล
มาตรฐาน write once เริ่มต้นจากแผ่นซีดีเปล่า ซึ่งถูกเขียนข้อมูลต่างๆ ลงไปได้เพียงครั้งเดียว เป็นข้อมูลที่ถาวร และไม่สามารถเขียนข้อมูลต่างๆ ซ้ำได้ แผ่น CD-R จะมีขนาด และลักษณะเช่นเดียวกับแผ่นซีดีทั่วไป แต่ด้านที่บันทึกข้อมูล จะเป็นสีเขียว ซึ่งเป็นสารชนิดพิเศษ ส่วนอีกด้านหนึ่ง จะมีสีทองซึ่งมีคุณสมบัติสามารถสะท้อนแสงได้ดี ซึ่งจะมีผลให้สามารถอ่านข้อมูลให้ดีอีกด้วย ในอดีตทั้งไดร์ฟและแผ่น CD-R มีราคาแพงมาก แต่ปัจจุบันราคาของทั้งสองสิ่งนี้ ได้ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ทำให้ CD-R กลายเป็นสื่อที่ได้รับความนิยม สำหรับการบันทึกโปรแกรม หลายๆโปรแกรมรวม ทั้งการแจกจ่ายซอฟต์แวร์, การบันทึกสำรองข้อมูล, การบันทึกไฟล์เสียง และอื่นๆ

เรียนรู้เทคโนโลยีไดรฟ์ CD-R

ไดรฟ์นี้แตกต่างจากเครื่องเล่นซีดีทั่วไปด้วยเลเซอร์ชนิดพิเศษมีความสามารถทั้งในการอ่าน และเขียนแผ่นซีดี แน่นอนว่ามันสนับสนุนมาตรฐานของแผ่นซีดีเกือบทุกชนิด โดยความเร็ว ในการเขียน จะต่ำกว่าความเร็วในการอ่านมากพอสมควร ตัวอย่างเช่นไดรฟ์รุ่นหนึ่ง จะถูกระบุสเปคว่าอ่านได้ 24X แต่เขียนได้แค่ 6X มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ SCSI(ได้กล่าวถึงในเนื้อหาเรื่องซีดีรอม) เป็นทางเลือกหนึ่งที่ใช้กันในไดรฟ์ CD-R เหตุผลคือ SCSI เป็นมาตรฐาน การเชื่อมต่อสมรรถนะสูง ซึ่งอนุญาตให้การถ่ายเทของข้อมูลไปสู่ไดรฟ์เป็นไปอย่างง่ายดาย และเป็นอิสระไม่ว่าขณะนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ กำลังทำงานใดๆ อยู่ก็ตาม นี่คือจุดที่สำคัญสำหรับการเขียน CD-R เพราะว่าการเขียนข้อมูล นั้นจะต้องไม่มีสิ่งใดมาขัดจังหวะ ไม่ว่าการขัดจังหวะนั้น จะมาจากส่วนใดในระบบคอมพิวเตอร์ก็ตาม (ส่วนมากมาจากฮาร์ดดิสก์) แต่เนื่องจากราคาที่ค่อนข้างสูง ทำให้ไดรฟ์ CD-R ในปัจจุบันนี้นิยมใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ ATAPI หรือ IDE เนื่องจาก ตัวยิงแสงเลเซอร์ที่อยู่ในไดรฟ์ CD-R จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ ขณะที่มีการเขียนข้อมูล จำเป็นที่ข้อมูลนั้น จะต้องรอพร้อมอยู่ด้วย การไหลของข้อมูล ที่ค่อนข้างราบเรียบ โดยการเขียนข้อมูลนั้นจะต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถหยุดกลางคันได้ การขัดจังหวะในขณะที่มีเขียนข้อมูล หมายถึงแผ่น CD-R นั้นจะเสียหายในทันที มีไดรฟ์หลายๆตัว ใช้ขั้นตอนพิเศษ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ หนึ่งในวิธีที่พบเห็นมากคือ การใช้ส่วนสำรองข้อมูลพิเศษ หรือ substantial memory buffer ซึ่งสามารถนำข้อมูลไปสู่หัวลำแสงเลเซอร์ ในกรณีที่การไหลของข้อมูลนั้น ถูกจังหวะ วิธีแก้ไขปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือการใช้ image file แทนที่จะทำการคัดลอก ข้อมูลที่จะถูกบันทึกไปสู่แผ่น CD-R ในทันทีก็จะเปลี่ยนเป็นการสร้างและบันทึกไว้ในไฟล์ขนาดใหญ่บนฮาร์ดดิสก์ก่อนเป็นลำดับแรกและจากนั้นจึงทำการโอนย้ายข้อมูลทั้งหมด ไปสู่แผ่น CD-R ต่อไปนี่จะเป็นการลดโอกาสที่ถูกขัดจังหวะขณะที่ทำการเขียนแต่แน่นอนว่า จะสูญเสียเนื้อที่ของฮาร์ดดิสก์ไปส่วนหนึ่ง แน่นอนสำหรับผู้ใช้หลายๆรายคงพบความยากลำบาก ในการติดตั้งและใช้ไดรฟ์ CD-Rในครั้งแรกๆโดยกว่าจะทำให้อุปกรณ์ชนิดนี้ทำการเขียนแผ่นได้อย่างสมบูรณ์ก็อาจจะต้องเสียแผ่นเปล่าไปเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามหากมีความชำนาญมากขึ้นแล้วไดรฟ์ CD-R เป็นสื่อที่เชื่อถือได้ ในความแน่นอนที่อนุญาตให้ผู้ใช้สร้างดิสก์จำนวนมากๆ และสูญเสียน้อยที่สุด

คุณลักษณะเฉพาะของแผ่น CD-RW

แผ่น CD-RW นั้นเป็นสื่อที่มีความคล้ายคลึงกับแผ่น CD-R มากกว่าจะคล้ายกับแผ่น CD-ROM ทั่วไปเทคโนโลยีของ CD-RW นั้นถูกสร้างขึ้นมาบนพื้นฐานเดียวกับ CD-R แต่ชั้นที่ใช้บันทึกข้อมูลของ CD-RW นั้นจะต่างกับชั้นที่ใช้บันทึกข้อมูลของ CD-R โดย CD-RW นั้นจะใช้ส่วนผสมทางเคมี ซึ่งสามารถเปลี่ยนสถานะไปในรูปร่างต่างๆ เมื่อได้รับพลังงานที่แตกต่างกันไปเหมือนกับวิธีที่น้ำเปลี่ยนแปลงสถานะตามอุณหภูมิที่ตัวมันได้รับ โดยกลายเป็นไอเมื่อได้รับความร้อน หรือเปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นแข็ง เมื่อได้รับความเย็น (มีสารเคมีบางชนิด ที่ไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวมัน หลังจากได้รับความร้อน หรือสภาวะอื่นๆ หากแต่ยังคงสภาพนั้นไว้อย่างเดิม แม้เมื่อไม่ได้รับความร้อนแล้วนอกจากนั้น มันยังสามารถกลับสู่สภาพเดิม
ได้ด้วยกระบวนการ ที่แตกต่างกันออกไป
สารที่ใช้ในแผ่น CD-RW นั้นมีคุณสมบัติพิเศษ เมื่อได้รับความร้อนไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้วถูกทำให้เย็นตัวลง สารนี้จะกลายเป็นผลึก แต่ถ้าเรายังทำให้มัน ได้รับความร้อนในอุณหภูมิที่สูงขึ้นไปอีก และถูกทำให้เย็นอีกครั้ง มันจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ที่ไม่เป็นผลึกอีกต่อไป (โลหะส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติเช่นนี้ โดยในความจริงแล้ว ชนิดของโลหะที่แตกต่างกัน จะถูกสร้างโดยการควบคุมความเย็น และความร้อน เพื่อแก้ไขโครงสร้างภายในของตัวมันเอง) เมื่อส่วนที่เป็นสารดังกล่าว กลายเป็นผลึกมันจะสะท้อนแสงได้มากกว่าเดิม ดังนั้นสถานะที่เป็นผลึกนี้ จะคล้ายกับส่วนที่เป็น land และในสถานะที่ไม่เป็นผลึก จะคล้ายกับส่วนของ pits โดยการใช้ความเข้มข้น ของกำลังแสงเลเซอร์ที่แตกต่างกัน ความสามารถ ในการเปลี่ยนแปลงสภาพสาร จากสถานะหนึ่งไปอีกสถานะหนึ่ง จะช่วยให้เราสามารถทำการเขียนซ้ำ ลงบนแผ่นซีดีแผ่นเดียวกันได้ ไดรฟ์ CD-RW และซอฟแวร์ ไดรฟ์ CD-RW จะคล้ายคลึงกับ ไดรฟ์ CD-R ยกเว้นแต่ในเรื่องที่มันใช้ ชนิดของเลเซอร์หลายชนิด เพื่อรองรับให้มันสามารถเขียนแผ่น CD-RW ได้หลายรูปแบบ นอกจากนั้น ไดรฟ์ CD-RW ยังสามารถเขียนแผ่น ไดรฟ์ CD-R ได้ ยิ่งทำให้มันมีความยืดหยุ่นมากขึ้นโดยไดรฟ์ CD-RW นั้นจะถูกจัดการ โดยใช้ซอฟแวร์ที่มีพื้นฐานคล้ายกับ ซอฟแวร์ที่ใช้กับไดรฟ์ CD-R นั่นเอง

 DVD-ROM



เป็นอุปกรณ์ Optical Drive สำหรับอ่านข้อมูลได้ทั้งแผ่น CD-R และ DVD ปัจจุบัน (พ.ย.2005) มาตรฐานความเร็วมาหยุดอยู่ที่ 16X แต่ความเร็วที่ 16X นี้ ถือเป็นความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ที่เร็วมาก รายละเอียดความเร็วดูที่ Combo Drive ในข้อที่ 4
สำหรับ DVD Drive ก็รองรับการอ่าน Disc ขนาดมาตรฐานเช่นเดียวกับ CD-ROM ที่มีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 และ 12 เซนติเมตร

Blu Ray ก็คือเทคโนโลยีใหม่ของเครื่องเล่นและแผ่นที่สามารถให ้รายละเอียดของภาพและเสียงในระดับสูง (High Definition) ได้ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้บลูเลย์จะเข้ามาแทนที่ดีวีดีBlu-ray หรือ Blu-ray Disc คือ
Blu-ray หรือ Blu-ray Disc (BD)เป็นชื่อของเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่สำหรับออฟติคอลด ิสก์ ที่ถูกผลักดันให้มาแทนมาตรฐาน DVD ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดย Blu-ray นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอรายละ เอียดสูง high-definition video (HD) หรือใช้เก็บไฟล์ข้อมูลได้มากกว่า DVD หลายเท่าตัว ซึ่ง Blu-ray แบบ single-layer นั้นจะมีเนื้อที่เก็บข้อมูล 25GB ส่วนแบบ double-layer นั้น จะเก็บข้อมูลได้สูงถึง 50GB เลยทีเดียว
โดยจะช่วยให้ภาพยนตร์ต่างๆที่ถูกบันทึกลงแผ่นดิสก์ Blu-ray นั้นมีรายละเอียดต่างๆทั้งด้านภาพ และเสียงสูงกว่า DVD ขึ้นไปอีก ส่วนที่มาของชื่อ Blu-ray นั้นจะมาจากการที่ใช้แสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์ แทนการใช้แสงเลเซอร์สีแดงเหมือนกับ DVD ซึ่งแสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงนั้นจะมีความยาวของคลื่น 405nm ที่สั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดง ที่มีความยาวคลื่น 650nm ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงไปในแผ่นดิสก์ได้มากขึ้นใน เนื้อที่เท่าเดิม โดยว่ากันคร่าวๆแล้ว Blu-ray จะสามารถเก็บวิดีโอความละเอียดสูงได้นานถึง 9ชั่วโมงในแผ่นดิสก์แบบ double-layer และสามารถเก็บไฟล์วิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้ใน DVD ปัจจุบันนี้ได้นานต่อเนื่องถึง 23ชั่วโมงเลยทีเดียว รวมถึงบันทึกความละเอียดสูงด้วยมาตรฐานใหม่ๆได้ด้วย
ใครเป็นผู้พัฒนามาตรฐาน Blu-ray?
Blu-ray เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) กลุ่มสมาคมที่เป็นการรวมตัวระหว่างบริษัทผู้ผลิตเครื ่องใช้ไฟฟ้า, บริษัทด้านไอทีรายยักษ์ รวมถึงสตูดิโอภาพยนตร์ และบริษัทในวงการอื่นๆ เช่น Apple Computer, Inc., Dell Inc., Hewlett Packard Company, Hitachi, Ltd., LG Electronics Inc., Matsushita Electric Industrial Co., Ltd., Mitsubishi Electric Corporation, Pioneer Corporation, Royal Philips Electronics, Samsung Electronics Co., Ltd., Sharp Corporation, Sony Corporation, TDK Corporation, Thomson Multimedia, Twentieth Century Fox, Walt Disney Pictures, Warner Bros. Entertainment ซึ่งแน่นอนบริษัทเหล่านี้จะร่วมกันผลักดันมาตรฐาน Blu-ray ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดแน่ๆเพื่อที่จะผลิตสินค้าที่ใ ช้เทคโนโลยี Blu-ray ออกมาจำหน่าย เช่น Sony ก็จะนำ Blu-ray ไปใช้กับเครื่องเล่นเกม PlayStation 3 ที่จะส่งออกจำหน่ายในเร็วๆนี้
นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆสำหรับ Blu-ray แต่แน่นอน Blu-ray ไม่ใช่เป็นตัวเลือกของมาตรฐานใหม่ที่จะมาแทน DVD ในขณะนี้แน่ๆ มาตรฐานอีกมาตรฐานที่มีการส่งเข้าต่อสู้ในตลาดนั้นจะ เป็น HD-DVD ที่พัฒนาโดย Toshiba และ NEC ซึ่งจะมีข้อดีกว่าตรงที่อุปกรณ์ต่างๆนั้นจะมีต้นทุนท ี่ต่ำกว่า Blu-ray แต่ก็จะมีความจุข้อมูลที่น้อยกว่าเช่นกัน เนื่องจากยังใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์สีแดงในการอ่าน และเขียนข้อมูลอยู่ ก็คงต้องรอดูกันสักพักว่าเทคโนโลยีของค่ายไหนที่จะมา แรงกว่ากัน และขึ้นแท่นแทน DVD ได้ในที่สุด

วิวัฒนาการก่อนที่จะมาเป็น Blu Ray

ตอนเริ่มแรกสุดเมื่อสมัยยังเด็กๆ ก็จะมีเครื่องเล่นวีดีโอเทปที่สามารถเล่นม้วนเทปได้ (VHS) หลังจากนั้นก็มีเครื่องเล่น VCD เข้ามาในตลาด ด้วยไซส์,ขนาด,และราคาของ VCD ทำให้เครื่องเล่นวีดีโอเทปในเวลานั้นแทบสูญพันธุ์ หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องเล่น DVD Player ก็เข้ามาสู่ตลาด ซึ่งเครื่องเล่น DVD ราคาก็ลดลงมาอย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถเล่นได้ทั้งแผ่น DVD และ VCD จึงทำให้เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และในอนาคตอันใกล้นี้เครื่องเล่น Blu Ray และ แผ่น Blu Ray ก็จะเข้ามาแทนที่ DVD ครับ ซึ่งตอนนี้ในท้องตลาดมีขายเครื่องเล่น Blu Ray Player กันหลายยี่ห้อแล้ว เช่น Sony, Pioneer, Sharp, Panasonic, Samsung, LG สนนราคาตั้งแต่ประมาณหลักหมื่นจนถึงเดือบแสน รวมถึงแผ่น Blu Ray ที่วางจำหน่ายหลายเรื่อง ราคาประมาณพันบาท ซึ่งคุณภาพของภาพที่ได้มีความคมชัดกว่า DVD และที่สำคัญที่สุด LCD TV และ Plasma TV แทบทุกรุ่นในปัจจุบัน รองรับ Blu Ray กันหมดแล้ว นั้นหมายความว่า Blu Ray มาแน่นอนครับ
Blu Ray ดีกว่า DVD อย่างไร

1. ความจุมากกว่า
- Single Layer: Blu Ray 25 GB VS 4.7 GB DVD
- Dual Layer: Blu Ray 50 GB VS 8.5 GB DVD
2. ภาพระดับ High Definition คมชัดกว่า
- ความละเอียดภาพของ Blu Ray อยู่ที่ 1080p (1080 เส้น) ในขณะที่ DVD อยู่ที่ 576p (576เส้น)
3. เสียงระดับ High Definition ไม่มีการบีบอัด
- เสียง High Definition อย่าง Dolby True HD (ตัวท็อปของค่าย Dolby) และ DTS HD Master (ตัวท็อปของค่าย DTS) ซึ่งจะหาได้จากแผ่น Blu Ray
4. เคื่องเล่น Blu Ray สามารถเล่นแผ่น DVD ได้ แต่เครื่องเล่น DVD ไม่สามารถเล่นแผ่น Blu Ray


DVD-RW


ดีวีดี (DVD; Digital Versatile Disc) เป็นแผ่นข้อมูลแบบบันทึกด้วยแสง (optical disc) ที่ใช้บันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ โดยให้คุณภาพของภาพและเสียงที่ดี ดีวีดีถูกพัฒนามาใช้แทนซีดีรอม โดยใช้แผ่นที่มีขนาดเดียวกัน (เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร) แต่ว่าใช้การบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกัน และความละเอียดในการบันทึกที่หนาแน่นกว่า
เดิมทีดีวีดีมาจากชื่อย่อว่า digital video disc แต่ในภายหลังผู้ผลิตบางรายเห็นว่าควรเปลี่ยนชื่อเป็น digital versatile disc ปัจจุบันตามคำนิยามอย่างเป็นทางการแล้ว DVD ไม่ได้ย่อมาจากชื่อเต็มแต่อย่างใด
ความเร็วในการเขียนแผ่นดีวีดี 1x มีค่าเท่ากับ 10.5 Mb/s หรือราวๆ 3.2 MB/s
เครื่องเขียนแผ่นดีวีดี (DVD Writer) คือ เครื่องสำหรับการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นดีวีดี

คุณสมบัติของดีวีดี
  • ​สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอที่ความละเอียดสูงได้ถึง 120 นาที
  • การบีบอัดของวิดีโอในรูปแบบ MPEG-2 นั้นมีอัตราส่วนอยู่ที่ 4 : 0 : 1
  • สามารถมีเสียงในฟิล์มได้มากถึง 8 ภาษา โดยในแต่ละภาษาอาจจะเป็นระบบเสียงสเตอริโอ 2.0 ช่อง (รูปแบบ PCM) หรือ ระบบเสียงรอบทิศทาง (เช่น 4.0, 5.1, 6.1 ช่อง) ในรูปแบบ Dolby Digital (AC-3) หรือ Digital Theater System (DTS)
  • มีคำบรรยาย (Subtitle) ได้มากสูงสุดถึง 32 ภาษา
  • ภาพยนตร์ดีวีดีบางแผ่นนั้น สามารถเปลี่ยนมุมกล้องได้ด้วย (Multiangle)
  • ทำภาพนิ่งได้สมบูรณ์เหมือนภาพสไลด์
  • ควบคุมระดับสิทธิการเล่น (Parental Lock)
  • มีรหัสพื้นที่ใช้งานเฉพาะพื้นที่กำหนด (Regional Codes
    ข้อดีของ DVD-RW
       คือ สามารถนำกลับมาบันทึกใหม่ ได้กว่า 100,000 ครั้ง แต่ดีวีดีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนี้คือ DVD-R ในการบันทึก DVD แต่ละชนิดนั้นไม่สามารถใช้งานข้ามชนิดได้ คือ ไม่สามารถใช้งานข้ามไดร์ฟได้ เช่น DVD-RW ไม่สามารถใช้งานในเครื่องบันทึก DVD+RW ได้ ต้องเขียนกับเครื่องบันทึก DVD-RW เท่านั้น ส่วนการอ่านข้อมูลใน DVD นั้น สามารถอ่านกับเครื่องไหนก็ได้ เช่น DVD+RW สามารถอ่านกับเครื่องเล่น DVD-RW ได้ ส่วน DVD-RAM เดี๋ยวนี้ไม่นิยมใช้แล้ว
    BLU-RAY
    Blu Ray ก็คือเทคโนโลยีใหม่ของเครื่องเล่นและแผ่นที่สามารถให ้รายละเอียดของภาพและเสียงในระดับสูง (High Definition) ได้ ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้บลูเลย์จะเข้ามาแทนที่ดีวีดี Blu-ray หรือ Blu-ray Disc คือ Blu-ray หรือ Blu-ray Disc (BD)เป็นชื่อของเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่สำหรับออฟติคอลด ิสก์ ที่ถูกผลักดันให้มาแทนมาตรฐาน DVD ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดย Blu-ray นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถบันทึกข้อมูลวิดีโอรายละ เอียดสูง high-definition video (HD) หรือใช้เก็บไฟล์ข้อมูลได้มากกว่า DVD หลายเท่าตัว ซึ่ง Blu-ray แบบ single-layer นั้นจะมีเนื้อที่เก็บข้อมูล 25GB ส่วนแบบ double-layer นั้น จะเก็บข้อมูลได้สูงถึง 50GB เลยทีเดียว โดยจะช่วยให้ภาพยนตร์ต่างๆที่ถูกบันทึกลงแผ่นดิสก์ Blu-ray นั้นมีรายละเอียดต่างๆทั้งด้านภาพ และเสียงสูงกว่า DVD ขึ้นไปอีก ส่วนที่มาของชื่อ Blu-ray นั้นจะมาจากการที่ใช้แสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงในการอ่านและเขียนแผ่นดิสก์ แทนการใช้แสงเลเซอร์สีแดงเหมือนกับ DVD ซึ่งแสงเลเซอร์สีน้ำเงิน-ม่วงนั้นจะมีความยาวของคลื่น 405nm ที่สั้นกว่าแสงเลเซอร์สีแดง ที่มีความยาวคลื่น 650nm ทำให้สามารถบันทึกข้อมูลลงไปในแผ่นดิสก์ได้มากขึ้นใน เนื้อที่เท่าเดิม โดยว่ากันคร่าวๆแล้ว Blu-ray จะสามารถเก็บวิดีโอความละเอียดสูงได้นานถึง 9ชั่วโมงในแผ่นดิสก์แบบ double-layer และสามารถเก็บไฟล์วิดีโอที่บีบอัดตามมาตรฐานที่ใช้ใน DVD ปัจจุบันนี้ได้นานต่อเนื่องถึง 23ชั่วโมงเลยทีเดียว รวมถึงบันทึกความละเอียดสูงด้วยมาตรฐานใหม่ๆได้ด้วย
    ใครเป็นผู้พัฒนามาตรฐาน Blu-ray?
    Blu-ray เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาโดย Blu-ray Disc Association (BDA) กลุ่มสมาคมที่เป็นการรวมตัวระหว่างบริษัทผู้ผลิตเครื ่องใช้ไฟฟ้า, บริษัทด้านไอทีรายยักษ์ รวมถึงสตูดิโอภาพยนตร์ และบริษัทในวงการอื่นๆ เช่น Apple Computer, Inc., Dell Inc., Hewlett Packard Company, Hitachi, Ltd., LG Electronics Inc., Matsushita Electric Industrial Co., Ltd., Mitsubishi Electric Corporation, Pioneer Corporation, Royal Philips Electronics, Samsung Electronics Co., Ltd., Sharp Corporation, Sony Corporation, TDK Corporation, Thomson Multimedia, Twentieth Century Fox, Walt Disney Pictures, Warner Bros. Entertainment ซึ่งแน่นอนบริษัทเหล่านี้จะร่วมกันผลักดันมาตรฐาน Blu-ray ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดแน่ๆเพื่อที่จะผลิตสินค้าที่ใ ช้เทคโนโลยี Blu-ray ออกมาจำหน่าย เช่น Sony ก็จะนำ Blu-ray ไปใช้กับเครื่องเล่นเกม PlayStation 3 ที่จะส่งออกจำหน่ายในเร็วๆนี้ นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆสำหรับ Blu-ray แต่แน่นอน Blu-ray ไม่ใช่เป็นตัวเลือกของมาตรฐานใหม่ที่จะมาแทน DVD ในขณะนี้แน่ๆ มาตรฐานอีกมาตรฐานที่มีการส่งเข้าต่อสู้ในตลาดนั้นจะ เป็น HD-DVD ที่พัฒนาโดย Toshiba และ NEC ซึ่งจะมีข้อดีกว่าตรงที่อุปกรณ์ต่างๆนั้นจะมีต้นทุนท ี่ต่ำกว่า Blu-ray แต่ก็จะมีความจุข้อมูลที่น้อยกว่าเช่นกัน เนื่องจากยังใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์สีแดงในการอ่าน และเขียนข้อมูลอยู่ ก็คงต้องรอดูกันสักพักว่าเทคโนโลยีของค่ายไหนที่จะมา แรงกว่ากัน และขึ้นแท่นแทน DVD ได้ในที่สุด วิวัฒนาการก่อนที่จะมาเป็น Blu Ray
    ตอนเริ่มแรกสุดเมื่อสมัยยังเด็กๆ ก็จะมีเครื่องเล่นวีดีโอเทปที่สามารถเล่นม้วนเทปได้ (VHS) หลังจากนั้นก็มีเครื่องเล่น VCD เข้ามาในตลาด ด้วยไซส์,ขนาด,และราคาของ VCD ทำให้เครื่องเล่นวีดีโอเทปในเวลานั้นแทบสูญพันธุ์ หลังจากนั้นไม่นาน เครื่องเล่น DVD Player ก็เข้ามาสู่ตลาด ซึ่งเครื่องเล่น DVD ราคาก็ลดลงมาอย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถเล่นได้ทั้งแผ่น DVD และ VCD จึงทำให้เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และในอนาคตอันใกล้นี้เครื่องเล่น Blu Ray และ แผ่น Blu Ray ก็จะเข้ามาแทนที่ DVD ครับ ซึ่งตอนนี้ในท้องตลาดมีขายเครื่องเล่น Blu Ray Player กันหลายยี่ห้อแล้ว เช่น Sony, Pioneer, Sharp, Panasonic, Samsung, LG สนนราคาตั้งแต่ประมาณหลักหมื่นจนถึงเดือบแสน รวมถึงแผ่น Blu Ray ที่วางจำหน่ายหลายเรื่อง ราคาประมาณพันบาท ซึ่งคุณภาพของภาพที่ได้มีความคมชัดกว่า DVD และที่สำคัญที่สุด LCD TV และ Plasma TV แทบทุกรุ่นในปัจจุบัน รองรับ Blu Ray กันหมดแล้ว นั้นหมายความว่า Blu Ray มาแน่นอนครับ Blu Ray ดีกว่า DVD อย่างไร 1. ความจุมากกว่า - Single Layer: Blu Ray 25 GB VS 4.7 GB DVD - Dual Layer: Blu Ray 50 GB VS 8.5 GB DVD 2. ภาพระดับ High Definition คมชัดกว่า - ความละเอียดภาพของ Blu Ray อยู่ที่ 1080p (1080 เส้น) ในขณะที่ DVD อยู่ที่ 576p (576เส้น) 3. เสียงระดับ High Definition ไม่มีการบีบอัด - เสียง High Definition อย่าง Dolby True HD (ตัวท็อปของค่าย Dolby) และ DTS HD Master (ตัวท็อปของค่าย DTS) ซึ่งจะหาได้จากแผ่น Blu Ray 4. เคื่องเล่น Blu Ray สามารถเล่นแผ่น DVD ได้ แต่เครื่องเล่น DVD ไม่สามารถเล่นแผ่น Blu Ray

ใบงานที่ 4

- อธิบายส่วนประกอบต่าง ๆ ของฮาร์ดดิสก์ Harddiskพร้อมอธิบาย

ส่วนประกอบของ Harddisk
         Platter
เป็นส่วนที่เป็นแผ่นวงกลมที่เห็นดังรูปทำหน้าที่ในการบันทึกข้อมูลที่ต้องการโดยจานแม่เหล็กจะถูกเคลือบด้วย Glass substrateโดยการบันทึกหรืออ่านข้อมูลจะใช้หัวอ่าน/เขียนข้อมูล
 

         Spindle motor
จะเป็นส่วนที่ใช้ยึดแผ่นPlatterแต่ละอันและจะมี Spindle Motorเป็นตัวหมุนแผ่น Platter แต่ละอันด้วยความเร็วตามที่กำหนดไว้โดยมีหลายความเร็วที่ใช้อยู่โดยขึ้นอยู่ กับคุณสมบัติแต่ละรุ่นของ Harddiskโดยความเร็วที่ใช้อยู่ ตัวอย่างเช่น 7,200 รอบต่อวินาที 5,400 รอบต่อวินาที เป็นต้น
Actuator
คือแขนของหัวอ่าน/เขียนข้อมูลเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ยึดติดกับหัวอ่าน/เขียนข้อมูลโดยตรง ปลายแขนของมันซึ่งคุณสมบัติการเข้าค้นหาและเข้าถึงข้อมูลของhaddisk(seek time) ก็จะวัดจากการส่วนนี้
 

       Headคือส่วนที่ใช้ในการอ่าน/เขียนข้อมูล ทำหน้าที่ในการอ่านและเขียนข้อมูลในPlatter
 
 
             ชนิดของหัวอ่าน/เขียนข้อมูล
1. แบบแกนเฟอร์ไรต์(Ferrite Heads)จะใช้ใน harddiskรุ่นแรกๆโดยหัวอ่านจะมี เส้นทองแดงพันรอบแกนเฟอร์ไรต์2. แบบ Thin-film แบบนี้หัวอ่านที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่าโดยใช้ เทคโนโลยีของIC นำมาสร้างหัวอ่านแบบเวเฟอร์ที่ใช้อยู่โดยใช้เส้นทองแดงเดินรอบๆแผ่น เวเฟอร์นั้นทำให้มีขนาดของหัวอ่าน/เขียนมีขนาดเล็กลงและยังมีข้อดีคือทำให้ความหนาแน่น ในการบันทึกข้อมูลของแผ่น Platterเพิ่มขึ้นในขนาดแผ่น Platter เท่าเดิม
Harddisk controller
circuit เป็นแผงวงจรที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของharddiskทั้งในส่วนของการบังคับการหมุนของ spindle motorการอ่านเขียนข้อมูลเป็นต้น
 

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ใบงานที่ 3


 -.ซ็อคเก็ต (Socket) สำหรับซีพียู
ซ็อกเก็ตซีพียู (อังกฤษ: CPU socket) หรือ สล็อตซีพียู (อังกฤษ: CPU slot) คือฐานรองเพื่อบรรจุซีพียูเข้ากับแผงวงจรหลักในคอมพิวเตอร์
 ซ็อกเก็ตแต่ละรุ่นจะมีลักษณะเฉพาะขึ้นอยู่กับรุ่นของซีพียูที่ออกแบบมาให้ ใช้งานร่วมกัน ดังนั้นเราจะไม่สามารถนำซีพียูที่ออกแบบมาเพื่อ
ใช้กับซ็อกเก็ตแบบหนึ่งไปใช้ กับซ็อกเก็ตแบบอื่นได้

-.ชิปเซ็ต (Chip set) ที่สำคัญคือ North Bridge และ South Bridge
โครงสร้างของชิปเซ็ตพอจะแยกเป็นได้ 2 โครงสร้างใหญ่ ๆ คือ
         1. North Bridge และ South Bridge
         2. Accelerated Hub Architecture

North Bridge และ South Bridge
 ชิปเซ็ตประเภทนี้ มีหลักการทำงานที่พอจะอธิบายได้อย่างคร่าว ๆ ดังนี้ ก็คือ ตัวชิปเซ็ตที่เป็นแบบ North Bridge และ South Bridge จะมีอยู่ 2 ตัวด้วยกัน
ตัวแรกจะทำหน้าที่เป็น North Bridge จะทำหน้าที่ติดต่อกับอุปกรณ์ที่มีความเร็วสูงทั้งหมดในเมนบอร์ด ซึ่งได้แก่ ซีพียู หน่วยความจำ(แรม) และการฟิกการ์ด
ตัวที่สองจะทำหน้าที่เป็น South Bridge จะทำหน้าที่ติดต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงจำพวกฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์และ South Bridge จะมีระบบบัสแบบ PCI
ขนาด 32 บิต ความเร็ว 33 MHz เป็นตัวเชื่อมต่อการทำงาน ซึ่งหมายความว่าชิปเซ็ต North Bridge และ South Bridge นั้นสามารถถ่ายโอนข้อมูลระหว่างกัน
ได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 132 MB./Sec

-.ซ็อคเก็ตสำหรับหน่วยความจำ (RAM)
RAM ย่อมาจาก (Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำหลักที่จำเป็น หน่วยความจำ ชนิดนี้จะสามารถเก็บข้อมูลได้ เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้า
หล่อเลี้ยงเท่านั้นเมื่อใดก็ตามที่ไม่มีกระแสไฟฟ้า มาเลี้ยง ข็อมูลที่อยู่ภายในหน่วยความจำชนิดจะหายไปทันที หน่วยควมจำแรม ทำหน้าที่เก็บชุดคำสั่ง
และข้อมูลที่ระบบคอมพิวเตอร์กำลังทำงานอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าข้อมูล (Input) หรือ การนำออกข้อมูล (Output) โดยที่เนื้อที่ของหน่วยความจำ
หลักแบบแรมนี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
1. Input Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลนำเข้าที่ได้รับมาจากหน่วยรับข้อมูลเข้าโดย ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้ในการประมวลผลต่อไป
2. Working Storage Area เป็นส่วนที่เก็บข้อมูลที่อยู่ในระหว่างการประมวลผล
3. Output Storage Area เป็นส่วนที่เก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล ตามความต้องการของผู้ใช้ เพื่อรอที่จะถูกส่งไปแสดงออก ยังหน่วยแสดงผลอื่น
ที่ผู้ใช้ต้องการ
4. Program Storage Area เป็นส่วนที่ใช้เก็บชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการจะส่งเข้ามา เพื่อใช้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตามคำสั่ง ชุดดังกล่าว หน่วยควบคุม
จะทำหน้าที่ดึงคำสั่งจากส่วน นี้ไปที่ละคำสั่งเพื่อทำการแปลความหมาย ว่าคำสั่งนั้นสังให้ทำอะไร จากนั้นหน่วยควบคุม จะไปควบคุมฮาร์ดแวร์ที่ต้องการทำงาน
ดังกล่าวให้ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ

-.ระบบบัสและสล็อต
ระบบบัส
บัส คือ เส้นการเดินทางของข้อมูล ที่เชื่อมต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ระบบบัสที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ได้แก่ ISA , PCI , AGP และUSB โดยแต่ละระบบก็จะมีความเร็ว
ในการทำงานไม่เท่ากันโดยระบบบัส ISA เป็นระบบที่เก่าแก่ที่สุด และมีการทำงานที่ช้า ที่สุดแต่ก็ยังมีใช้อยู่ ระบบบัสชนิดนี้กำลังเสื่อมความนิยมลงเรื่อยๆ เพราะ
อุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมต่างๆได้ถูกพัฒนา ให้การทำงานกับระบบบัสแบบ PCI ซึ่งมีความเร็วในการทำงานสูงกว่าและเป็นระบบบัสที่ได้รับความนิยมมากที่าสุด ในตอนนี้
 ส่วนระบบบัสแบบ AGP จะใช้การ์ดแสดงผลเท่านั้น สำหรับบัสตัวสุดท้ายเป็นระบบใหม่คือ USB ใช้กับอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ เช่น สแกนเนอร์ เมาส์ กล้องดิจิตอล เป็นต้น

-สล็อต (Slot) ของระบบบัสชนิดต่าง ๆ
สล็อต คือ ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดตั้งการ์ดต่าง ๆ เข้ากับเมนบอร์ด หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ การติดตั้งการ์ดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การ์ดแสดงผล การ์ดเสียง
การ์ดแลน จะต้องติดตั้งบนสล็อตทั้งสิ้น สรุปได้ว่าสล็อตอมีไว้สำหรับต่อกับการ์ดต่าง ๆ เพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์สล็อตที่นิยมใช้กัน
อยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ ISA Slot, PCI Slot และ AGP Slot ในการติดตั้งการ์ดต่าง ๆ ลงบน Slot ก็จะต้องติดตั้งให้ถูกกับชนิดของระบบบัสของการ์ด เช่นถ้าเรา
ซื้อการ์ดเสียงมา ซึ่งเป็นการ์ดที่ใช้ระบบบัสแบบ PCI ก็จะต้องติดตั้งบน Slot แบบ PCI เท่านั้น จะนำไปติดตั้งบน Slot ชนิดอื่นไม่ได้

-Bios (Basic Input Output System)
ไบออส (Basic Input/Output System: BIOS) คือโปรแกรมที่ปกติจะเก็บเอาไว้ในรอมที่เป็นความจำถาวร หรือกึ่งถาวร
 (EPROM Erasable Programmable Read Only Memory) และเป็นโปรแกรมที่ไมโครโพรเซสเซอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเรียกใช้เป็นโปรแกรมแรกตั้งแต่
เปิดเครื่อง โดยไบออสจะทำหน้าที่ในการตรวจอุปกรณ์ที่ต่อไว้ตามตำแหน่งที่ระบุ และทำการโหลดระบบปฏิบัติการจากฮาร์ดดิสก์หรือดิสก์เก็ต ไปที่แรมซึ่ง เป็นหน่วยความจำชั่วคราว
 หลังจากนั้นจะทำหน้าที่บริหารการไหลของข้อมูล ระหว่างระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อหน่วยรับข้อมูล และหน่วยแสดงผล เช่น จอภาพ แป้นพิมพ์ จอยสติก
 เครื่องพิมพ์ เป็นต้น

-สัญญาณนาฬิกาของระบบ
เป็นส่วนที่คอยกำหนดจังหวะถี่ในการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ความถี่ต่าง ๆ บนเมนบอร์ดจะได้มาจากผลึกควอซท์ที่เรียกว่าแร่คลิสตัล ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดความถี่ ความถี่ที่ใช้ป้อนให้แก่
ซีพียูแต่ละรุ่น ก็ได้มาจากส่วนนี้นั่นเอง

-แบตเตอรี่แบคอัพไบออส
ไบออส BIOS (Basic Input Output System) หรืออาจเรียกว่าซีมอส (CMOS) เป็นชิพหน่วยความจำชนิด หนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และโปรแกรมขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการบูตของ
ระบบคอมพิวเตอร์ โดยในอดีต ส่วนของชิพรอมไบออสจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ชิพไบออส และชิพซีมอส ซึ่งชิพซีไปออสจะทำหน้าที่ เก็บข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการบูตของ
ระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนชิพซีมอสจะทำหน้าที่ เก็บโปรแกรมขนาดเล็ก ที่ใช้ในการบูตระบบ และสามารถเปลี่ยนข้อมูลบางส่วนภายในชิพได้ ชิพไบออสใช้พื้นฐานเทคโนโลยีของรอม
ส่วนชิพซีมอสจะใช้เทคโนโลยีของแรม ดังนั้นชิพไบออสจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้า ในการเก็บรักษาข้อมูล แต่ชิพซีมอส จะต้องการพลังงานไฟฟ้าในการเก็บรักษาข้อมูลอยตลอด
เวลาซึ่งพลังงานไฟฟ้า ก็จะมาจากแบตเตอรี่แบ็คอัพที่อยู่บนเมนบอร์ด (แบตเตอรี่แบ็คอัพจะมีลักษณะเป็นกระป๋องสีฟ้า หรือเป็นลักษณะกลมแบนสีเงิน ซึ่งภายในจะบรรจุแบตเตอรรี่
แบบลิเธี่ยมขนาด 3 โวลต์ไว้) แต่ตอ่มาในสมัย ซีพียตระกูล 80386 จึงได้มีการรวมชิพทั้งสองเข้าด้วยกัน และเรียกชื่อว่าชิพรอมไบออสเพียงอย่างเดียว และการที่ชิพรอมไบออสเป็นการรวมกัน
ของชิพไบออส และชิพซีมอสจึงทำให้ข้อมูลบางส่วนที่อยู่ภายใน ชิพรอมไบออส ต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูลไว้ แบตเตอรี่แบ็คอัพ จึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่จนถึง ปัจจุบัน จึงเห็น
ได้ว่าเมื่อแบตเตอรี่แบ็คอัพเสื่อม หรือหมดอายุแล้วจะทำให้ข้อมูลที่คุณเซ็ตไว้ เช่น วันที่ จะหายไปกลายเป็นค่าพื้นฐานจากโรงงาน และก็ต้องทำการเซ้ตใหม่ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง เทคโนโลยีรอม
ไบออส ในอดีต หน่วยความจำรอมชนิดนี้จะเป็นแบบ EPROM (Electrical Programmable Read Only Memory) ซึ่งเป็นชิพหน่วยความจำรอม ที่สามารถบันทึกได้ โดยใช้แรงดันกระแสไฟฟ้า
ระดับพิเศษ ด้วยอุปกรณ์ ที่เรียกว่า Burst Rom และสามาถลบข้อมูลได้ด้วยแสงอุตราไวโอเล็ต ซึ่งคุณไม่สามารถอัพเกรดข้อมูลลงในไบออสได้ ด้วยตัวเองจึงไม่ค่อยสะดวกต่อการแก้ไขหรืออัพเกรด
ข้อมูลที่อยู่ในชิพรอมไบออ ส แต่ต่อมาได้มีการพัฒนา เทคโนโลยชิพรอมขึ้นมาใหม่ ให้เป็นแบบ EEPROM หรือ E2PROM โดยคุณจะสามารถทั้งเขียน และลบข้อมูล ได้ด้วยกระแสไฟฟ้าโดยใช้
ซอฟต์แวร์พิเศษ ได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดายดังเช่นที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

-ขั้วต่อสายไฟแหล่งจ่ายไฟ
เป็นจุดที่ใช้เสียบเข้ากับหัวต่อหลักของสายที่มาจาก Power Supply เพื่อป้อนไฟเลี้ยงขนาด 5 โวลต์(+5 v และ -5 v) 12โวลต์ (+12 v และ -12 v ) และ+ 3.3 โวลต์ ให้กับวงจรไฟหลักและส่วนประกอบต่างๆ
ที่ถูกติดตั้งบนเมนบอร์ดขั้วต่อสายแหล่งจ่ายไฟในยุคของเมนบอร์ดและ Power Supply ที่ใช้ Form Factor แบบ AT จะใช้เสียบเข้ากับหัวต่อที่เรียกว่า P8 และ P9 มีจำนวน 12 Pin ต่อมาเมื่อมาถึงยุคของ Form Factor
แบบ ATX จึงได้เปลี่ยนไปใช้หัวต่อและขั้วต่อสายแหล่งจ่ายไฟแบบ ATX Power Connector มีจำนวน 20 Pin สำหรับเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆที่สับสนุนเทคโนโลยีต่างๆอย่าง ซ็อคเก็ต LGA775 ฮาร์ดดิสก์ Serial ATA

ระบบบัสแบบ PCI-Express หน่วยความจำ DDR II เทคโนโลยี SLI หรือ CrossFire และอื่นๆ จะมี Pin เพิ่มขึ้นมาอีก 4 Pin คือ +12v +5v +3.3v และ Ground รวมทั้งสิ้น 24 Pin

-ขั้วต่อสวิทช์และไฟหน้าเครื่อง
เป็นส่วนที่ใช้สั่งการทำงานภายนอกตัวเครื่องคอมฯรวมถึงเป็นการแสดงสีสันหน้าตาที่โดดเด่นของเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนหนึ่งก็ว่าได้ เพราะในชุดขั้วต่อหรือปุ่มสวิทซ์หน้าปัดเครื่องนั้นจะมี Power LED
 ซึ่งเป็นชุดไฟแสดงสถานะการทำงาน ของ Power Supply Turbo LED เป็นส่วนที่แสดงสถานะว่าขณะนี้ได้ใช้ความเร็วสูงที่สุดของเครื่อง HDD. LED เป็นไฟสถานะบอกว่า HDD กำลังอ่าน/เขียนข้อมูลอยู่
 ซึ่งกรณีของ HDD. LED นี้จะกระพริบตามจังหวัดการอ่าน/เขียนของ HDDส่วนในด้านของปุ่มสวิทซ์ก็จะมี Power Switch ซึ่งถ้าเป็นเมนบอร์ดแบบ AT ก็จะเป็นการเปิดปิดไฟกระแสสลับ 220 V. แต่ถ้าเป็น
เมนบอร์ด ATX ก็จะเป็นการสั่งงานผ่านทางเมนบอร์ดเพื่อเปิด Power Supply ให้ทำงาน ส่วนสวิทซ์อีกตัวหนึ่งก็คือ Reset Switch นั้นจะมีหน้าที่ในการสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มการทำงานใหม่อีกครั้ง (Boot)

-จัมเปอร์สำหรับกำหนดการทำงานของเมนบอร์ด
เมนบอร์ดถือว่าเป็นส่วนที่มี Jumper ให้เซ็ตติดตั้งอยู่มากพอสมควร เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ พยายามจะลดความยุ่งยากในส่วนนี้จึงพยายามทำ เทคโนโลยีที่เรียกว่า "Jumper Less" คือมี Jumper ให้น้อยที่สุดหรือ ไม่มีเลย
แล้วย้ายการเซ็ตค่าต่าง ๆ ไปเป็นส่วน Software หรือบน Bios ที่เรียกว่า "Soft Menu" เพื่อให้ผู้ใช้งานยังคงสามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้ จากเดิมที่รูปร่างหน้าตาของ Jumper เป็นขาทองแดงแล้วใช้พลาสติกเล็ก ๆ ซึ่งข้าง
ในมีแผ่นโลหะเป็นตัวเชื่อม เมนบอร์ดบางรุ่นก็เปลี่ยนมาเป็น Dip Switch ที่ปรับแต่งได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า และดูไม่น่ากลัวแทน วิธีการเซ็ต Jumper ส่วนใหญ่จะเป็นการเชื่อมขาทองแดงเข้าด้วยกัน ซึ่งต้องอาศัย ตัวเชื่อม
ที่เป็นลักษณะพลาสติกตัวเล็ก ๆ ที่ข้างในจะเป็นทองแดงเป็นสื่อให้ขา ทองแดงทั้งสองเชื่อมถึงกัน และพลาสติกรอบข้างทำหน้าที่เป็นชนวนป้องกัน ไม่ให้ทองแดงไปโดนขาอื่น ๆ


-ขั้วต่อ IDE (Integrated Drive Electronics) สำหรับฮาร์ดดิสก์
Hard Disk แบบ IDE เป็นอินเทอร์เฟซรุ่นเก่า ที่มีการเชื่อมต่อโดยใช้สายแพขนาด 40 เส้น โดยสายแพ 1 เส้นสามารถที่จะต่อ Hard Disk  ได้ 2 ตัว บนเมนบอร์ดนั้นจะมีขั้วต่อ IDE อยู่ 2 ขั้วด้วยกัน ทำให้สามารถพ่วงต่อ
Hard Disk ได้สูงสุด 4 ตัว ความเร็วสูงสุดในการถ่ายโอนข้อมูลอยู่ที่ 8.3 เมกะไบต์/ วินาที สำหรับขนาดความจุก็ยังน้อยอีกด้วย เพียงแค่ 504 MB

-ขั้วต่อ Floppy disk drive
 เป็นขั้วต่อบนเมนบอร์ดที่มีจำนวนขาสัญญาณทั้งสิ้น 34 ขา โดยมากมักจะอยู่ใกล้กันกับขั้วต่อ IDE และมีอยู่เพียงพอร์ตเดียวบนเมนบอร์ด ซึ่งใช้เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ฟล็อปปี้ดิสก์ไดรว์ได้มากสุด 2 ตัว โดยใช้สายแพแบบ 34 เส้น
ทีมีหัวต่อ 3 ชุดอยู่บนสายแพ หัวต่อ 1 ชุดที่อยู่ห่างออกไป จะใช้เชื่อม FDD/FDC Controller บนเมนบอร์ด ส่วนหัวต่ออีก 2 ชุดที่เหลือซึ่งอยู่ใกล้กัน จะใช้เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ฟล็อปปี้ดิสก์ไดรว์ได้พร้อมกัน 2 ตัว โดยอุปกรณ์ทั้งสอง
จะถูกแยกสถานการณ์ทำงานกันด้วยการพลิกไขว้สายแพกลุ่มหนึ่ง ไว้ ทำให้หัวต่อปลายสุดเป็นไดรว์ A: เสมอ ส่วนหัวต่อที่เหลือตรงกลางสายจะเป็นไดรว์ B: (เว้นแต่จะกำหนดไว้ใน BIOS ให้สลับกัน) อุปกรณ์ฟล็อปปี้ดิสก์ไดรว์ทั่วไป
จะมีขนาด 3.5 นิ้ว และ แผ่นบันทึกข้อมูลที่ใช้จะมีความจุ 1.44 MB ส่วนคุณสมบัติต่างๆนั้นแทบจะไม่แตกต่างกันเลยไม่ว่ายี่ห้อใด

-พอร์ตอนุกรมและพอร์ตขนาน
ในอดีตบนเมนบอร์ดทั่วไปมักจะมีพอร์ตอนุกรมมาให้ 1-2 พอร์ต (COM1/COM) กับพอร์ตขนาน (Parallel) อีก 1 พอร์ต แต่ปัจจุบันบนเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆ มักจะไม่มีพอร์ตอนุกรมมาให้แต่พอร์ตขนานยังมีอยู่ โดยส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนไป
ใช้พอร์ต USB แทบทั้งสิ้น หรือถ้ามีมาให้ก็มักจะอยู่ในรูปแบบของพอร์ตเสริมที่ต้องเสียบหัวต่อลงบนขั้ว ต่อ COM1 หรือ COM2 บนเมนบอร์ดเอง แล้วขันน็อตยึดให้พอร์ตนี้ติดอยู่กับด้านหลังของตาเคส

สำหรับพอร์ตอนุกรม (Serial Port) และพอร์ตขนาน (Parallel Port) นี้ จะมีรูร่างคล้ายตัวอักษร D จึงมักถูกเรียกว่าเป็นชนิด D-type โดยพอร์ตอนุกรมที่อยู่บนเมนบอร์ดจะเป็นตัวผู้ (มีขา) มีจำนวนขาทั้งสิ้น 9 ขา ส่วนพอร์ตขนานที่อยู่บนเมนบอร์ด
จะเป็นตัวเมีย (มีแต่รู ไม่มีขา) มีจำนวนรูทั้งหมด 15 รู

-พอร์ตคีย์บอร์ดและเมาส์ PS/2

เป็นพอร์ตแบบพีเอสทู (PS/2) ตัวเมีย ทีอยู่บนเมนบอร์ดมีจำนวนรูเสียบทั้งสิ้น 6 รู โดยพอร์ตที่ใช้เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์คีย์บอร์ดจะเป็นพอร์ต PS/2 (สีม่วง) ส่วนอุปกรณ์เมาส์จะเป็น
พอร์ต PS/2 (สีเขียว) ซึ่งทั้ง 2 พอร์ตจะถูกติดตั้งอยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าหากเสียบผิดหรือเสียบสลับกันจะทำให้อุปกรณ์ตัวนั้นๆไม่ทำงาน ปัจจุบันทั้งอุปกรณ์คีย์บอร์ดและเมาส์จะมีให้เลือกทั้งแบบที่ใช้เชื่อมต่อ เข้ากับพอร์ต PS/2
และ USB ดังนั้นเวลาซื้อหามาใช้งานก็ควรเลือกให้ตรงกับพอร์ตที่จะใช้ด้วย ซึ่งเมาส์บางรุ่นเท่านั้นที่มีใช้ตัวแปลงสัญญาณ (Adapter) เพื่อให้ใช้ได้ทั้งกับ USB และ PS/2

-.พอร์ต USB
พอร์ตยูเอสบี เป็นพอร์ตแบบใหม่ล่าสุด ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้กับพีซีคอมพิวเตอร์ ให้สามารถรับส่งข้อมูลให้รวดเร็วขึ้น สามารถต่ออุปกรณ์ได้มากถึง 127 ชิ้น เพราะมีแบนด์วิดธ์ในการรับส่งข้อมูลสูงกว่า พอร์ตแบบนี้ถูกออกแบบ
มาให้ใช้กับระบบปลั๊กแอนด์เพลย์บนวินโดวส์ 98 ปัจจุบัน มีฮาร์ดแวร์จำนวนมากที่สนับสนุนการเชื่อมต่อแบบนี้ เช่น กล้องดิจิตอล เมาส์ คีย์บอร์ด จอยสติ๊ก สแกนเนอร์ ซีดีอาร์ดับบลิว เป็นต้น สำหรับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ จะมีพอร์ต
แบบนี้จะมีพอร์ตแบบนี้อยู่ในเครื่องเรียบร้อยแล้ว
• คอมพิวเตอร์ปกติจะมี 2 USB Port ถ้าเป็นเครื่องรุ่นเก่าที่ไม่มี USB สามารถหาซื้อการ์ด USB มาติดตั้งได้
• เป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สูงประมา 3-5 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 1-2 เซ็นติเมตร
• พอร์ตชนิดใหม่รับส่งความเร็วได้สูงกว่า port ทั่ว ๆ ไป
• สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อเนื่องได้ 127 ตัว
• เป็นมาตราฐานใหม่ที่มีมากับเครื่องคอมพิวเตอร์
• การติดตั้ง เพียงต่ออุปกรณ์เข้ากับ USB port ก็สามารถใช้งานอุปกรณ์นั้นๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้อง boot เครื่องใหม่
   

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แบบทดสอบ 1


1. บิดาคอมพิวเตอร์คือใครและจงบอกผลงานที่ทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของคอมพิวเตอร์
            Charles Babbage ...
ได้ ทำการออกแบบเครื่อง Difference Engine โดยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เครื่อง Difference Engine นี้สร้างไม่เสร็จ เพราะแบบเบจได้ค้นพบความไม่น่าเชื่อถือบางประการในการคำนวณ จึงล้มเลิก และไปคิดเครื่องใหม่แบบเบจได้พยายามสร้าง เครื่องคำนวณอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Analytical Engine โดยมีแนวคิดให้แบ่งการทำงานของเครื่องออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล (Store unit), ส่วนควบคุม (Control unit) และส่วนคำนวณ (Arithmetic unit) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนำมาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จึงยกย่องแบบเบจ ว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์

                          
2.  จงเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับประวัติคอมพิวเตอร์ต่อไปนี้ จากแรกสุดไปหลังสุด

....2.....) Slide Rule                                                ....6.....) UNIVAC
....1.....) Abacus                                                    ....5.....) MARK I  
.....3....)
Difference Engine                                   ....4.....) ABC Computer

3. จงอธิบายที่มาของเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์

.ศ. 1943 :เจเพรสเปอร์ เอ็คเคิร์ท (J. Presper Eckert) นักวิศวกรและ จอห์น มอชลี (John Mauchly) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ได้ช่วยกันสร้างเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์โดยใช้หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) สร้างสำเร็จในปี ค.ศ. 1946 นับเป็น เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก เรียกว่าENIAC  (Electronic Numerical Integrator and Calculator)

4. โปรแกรมเมอร์คนแรกคือใคร

Lady Augusta Ada Byron

5. คอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรมไว้ในเครื่องได้คือ

ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ ( Dr.John Von Neumann ) ได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บคำสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภาย ในเครื่อง ชื่อว่า EDVAC นับเป็นคอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรม ไว้ในเครื่องได้

6. เครื่องประดิษฐ์ที่ชื่อว่า Difference Engine สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์อะไร

เครื่องหาผลต่าง (Difference Engine) ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้คำนวณ และพิมพ์ตารางทางคณิตศาสตร์อย่างอัตโนมัติ

7. เครื่องคอมพิวเตอร์ใดที่เป็นต้นแบบของคอมพิวเตอร์ปัจจุบัน      
[ พ.ศ.2365 ] ชาร์ล แบบเบจ ( Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องหาผลต่าง ( Difference Engine) เพื่อใช้คำนวณและพิมพ์ ค่าทางตรีโกณมิติและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ แบบเบจได้พยายามสร้าง เครื่องคำนวณอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Analytical Engine โดยมีแนวคิดให้แบ่งการทำงานของเครื่องออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล (Store unit), ส่วนควบคุม (Control unit) และส่วนคำนวณ (Arithmetic unit) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนำมาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ใบงานที่ 2

2.1 ศัพท์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

aport 
หมายถึง : การไม่ทำงานของเครื่องโดยมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น 

asynchronous operation
หมายถึง : การทำงานที่ประสานสัมพันธ์กันในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี

arrayหมายถึง : รายการของค่าของข้อมูลในการทำโปรแกรมทุกประเภท 

animation
หมายถึง : การสร้างภาพเคลื่อนไหวบนจอภาพ 

active program
หมายถึง : โปรแกรมที่กำลังใช้ควบคุมการทำงานของไมโครโพรเซสเซอร์

 actvie cell
หมายถึง : ในโปรแกรม spreadsheet เซลล์ซึ่งกำลังถูกใช้ทำกิจกรรม เซลที่กำลังถูกใช้จะมีแถบสว่างขึ้นบนหน้าจอภาพเซลแต่ละเซลจะถูกกำหนดโดย แถว (row) และคอลัมน์ (column) ดูเพิ่มเติม cell , row, column


active
หมายถึง : เป็นคำ adjective ขยายโปรแกรม , เอกสาร, เครื่องมือต่างๆ หรือส่วนของหน้าจอภาพที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ หมายถึงโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ เอกสารที่กำลังใช้อยู่ หรือเครื่องมือที่กำลังถูกใช้งาน เป็นต้น

 accessory
หมายถึง : อุปกรณ์ประกอบเพิ่มเติมสำหรับคอมพิวเตอร์ เช่น โมเด็ม เมาส์ เป็นต้น บางครั้งเรียกว่า อุปกรณ์ประกอบภายนอก (peripheral) อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยทำหน้าที่ต่างๆ ซึ่ง อุปกรณ์เดิมของคอมพิวเตอร์ไม่มีและไม่ได้ทำหน้าที่เหล่านี้

accessหมายถึง : เข้าถึง, บอกตำแหน่ง, การอ่านหน่วยความจำ,และทำให้พร้อมที่จะนำมาใช้งาน คำว่า access ใช้กับการเข้าสู่แผ่นดิสก์, แฟ้มข้อมูล, ระเบียนและเครือข่ายต่างๆ 

ACหมายถึง : กระแสไฟฟ้าสลับ เป็นอักษรย่อของคำเต็มว่า alternating current 

active file
หมายถึง : แฟ้มข้อมูลที่กำลังใช้งาน 


half-duplex transmission
หมายถึง : การสื่อสาร 2 ทาง ที่ผลัดกันถ่ายทอดข้อมูลคนละครั้ง ไม่สามารถจะถ่ายทอดข้อมูลทั้งสองทางพร้อมๆ กันได้ เช่น ในการใช้วิทยุวอล์คกี้-ทอล์คกี้ หรือวิทยุสื่อสารของทหาร เป็นต้น ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งพูด จะพูดโต้ตอบไม่ได้ รอจนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งพูดเสร็จ อีกฝ่ายหนึ่งจึงสามารถพูดตอบไปได้ เมื่อฝ่ายหนึ่งพูดอยู่ก่อน กดปุ่ม "เปลี่ยน"

hard copy

หมายถึง :
ฮาร์ดก๊อบปี๊ ผลลัพธ์ที่พิมพ์ลงบนกระดาษ แผ่นโปร่งใส (transparency) ฟิล์ม หรือวัสดุถาวรใดๆ ฮาร์ดก๊อบปี๊ จับต้องได้ เพราะเป็นแผ่นกระดาษ เป็นฟิล์ม เป็นสไลด์ ฯลฯ ดูเพิ่มเติม soft copy


hard disk

หมายถึง : ฮาร์ดดิสก์ แผ่นดิสก์แข็งเคลือบสารแม่เหล็ก เพื่อใช้เก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ โดยทั่วไปจะหมุนด้วยความเร็ว 3600 รอบต่อนาที (RPM) ปัจจุบันปี 2547 อัตรา 7200 รอบต่อนาที ถือเป็นความเร็วมาตรฐาน หัวสำหรับอ่าน/บันทึก ข้อมูล จะวางอยู่ห่างจากแผ่นดิสก์ระหว่าง 10/1,000,000 ถึง 25/1,000,000 นิ้ว ฮาร์ดดิสก์จะถูกเคลือบเพื่อป้องกันฝุ่น ผง หรือสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อน

WAN

หมายถึง : ดู wide area network

wide area network

หมายถึง : เครือข่ายการสื่อสารบริเวณกว้าง มักใช้เป็นคำย่อว่า WAN

2.2 คำศัพท์ทางด้านอินเตอร์เน็ต


 ADDRESS

แปลตรงตัวหมายถึงที่อยู่ อาจหมายถึงที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต หรือ ที่อยู่ของอีเมล์ 

 AUTHORING TOOL
เครื่องมือใช้ในการสร้างเอกสารจำพวก HTML เพื่อใช้สำหรับเผยแพร่ใน www

BACKBONE

การเชื่อมต่อข้อมูลด้วยความเร็วสูง สามารถเชื่อมต่อกับหลาย ๆ เครือข่าย

EISA
 การเชื่อมต่อหรือ อินเตอร์เฟส แบบมาตราฐานของการ์ดต่าง ๆ ปัจจุบันล้าสมัยแล้ว

EMAILElectronic Mail
จดหมายอิเลคทรอนิกส์ ใช้สำหรับการรับ-ส่งข้อมูลผ่านทางเครือข่าย

ETHERNET
มาตราฐานของสายเคเบิล และการเดินสาย โดยมีความสัมพันธ์กับระบบสื่อสารของเครือข่าย โดยมีหน่วยความเร็วเป็น 10 mbps , 100 mbps เป็นต้น

FIREWALL
แปลตรงตัวคือ กำแพงไฟ เป็นได้ทั้งซอร์ฟแวร์และฮาร์ดแวร์ สำหรับป้องกันการบุกรุกจากบุคคลภายนอกเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา

FTPFile Transfer Protocal
มาตราฐานการส่งผ่านข้อมูล จากระบบหนึ่งไปยังอีกระบบหนึ่งบน เครือข่าย TCP/I

PGATEWAY
คอมพิวเตอร์ตัวกลางในการเคลื่อนย้ายข้อมูลจากเครือข่ายหนึ่ง ไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง

GUEST BOOK
สมุดลงนาม ใช้สำหรับแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ web site นั้น ๆ ที่คุณเข้าไปเยี่ยมชม เป็นช่องทางแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง

HOME PAGE
อกสารหน้าแรก (หน้าแนะนำตัว) ของ เวิลด์ ไวด์ เว็บ ของ web site ต่างๆ

HOST
คอมพิวเตอร์หลัก ที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล เช่น Host ของ web site ต่างๆ

HTMLHypertext Makrup Language ภาษาพื้นฐานสำหรับการสร้าง web ถือได้ว่าเป็นภาษาสากลสำหรับ web page

INTERNET เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับโลก

ISDN Integrated Service Digital Network
มาตราฐานการติดต่อความเร็วสูงอย่างหนึ่ง เพื่อใช้ส่งสัญญาณเสียง วีดีโอ ทางสายดิจิตอล

ISP Internet Service Provider
บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต ได้แก่ KSC, CS-Loxinfo, Internet Thailand เป็นต้น

JAVASCRIP, JAVA APPLET เป็นภาษาหนึ่งที่ใช้สำหรับการสร้างและตกแต่งเอกสารบน เวิลด์ ไวล์ เว็บ

LANLocal Area Network

ระบบเครือข่าย สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูล และทรัพยากรอื่น ๆ ได้ในพื้นที่จำกัด
LOG IN

ขั้นตอนการขออนุญาต เข้าระบบ ปกติจะมี ID และ Password เป็นตัวควบคุม

MODEMModulator/Demodulator อุปกรณ์สำหรับเชื่อมคอมพิวเตอร์ผ่านทางสายโทรศัพท์ ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลทางกันได้

NEWSGROUPS กลุ่มสนทนาทางเครือข่าย หรือทางอินเตอร์เน็ต


2.3คำศัพท์เกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง  ๆ หรือ อื่น ๆ

 3CCD ในการถ่ายภาพ/ถ่ายวิดีโอจากกล้องดิจิตอลหรือกล้อง DV จะใช้เซนเซอร์ในการรับภาพการที่จะถ่ายภาพ/ถ่ายวิดีโอได้สีสันที่เป็นธรรมชาตินั้นจะต้องมีฟิลเตอร์ที่เป็นแม่สีของแสงได้แก่ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน วางไว้ที่หน้า CCD ที่เป็นเซนเซอร์รับภาพในกล้องดิจิตอล หรือกล้อง DV ทั่วไป จะมีการวางฟิลเตอร์สลับกัน แต่สำหรับ 3CCD ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่วางฟิลเตอร์ของแม่สีทั้ง 3 ซ้อนกันเหมือนกับการเคลือบชั้นความไวแสงของระบบฟิล์มสีทำให้ในแต่ละพิกเซลของเซนเซอร์รับภาพได้รับข้อมูลของสีครบทั้ง 3 สีซึ่งจะใหความคมชัดสูง สามารถเก็บรายละเอียดได้ดี และมีสีสันอิ่มตัวมีสัญญาณรบกวนต่ำ

3D Stereo
เป็นการพัฒนาเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือให้มีการสั่นตามจังหวะเสียงเพลงรวมถึงมือถือในบางรุ่นที่มีการเพิ่มไฟกระพริบให้สามารถกระพริบได้ตามจังหวะเสียงเพลงอีกด้วย

3G (Third Generation)
การสื่อสารไร้สายยุคที่ 3 นับจากยุคที่ 1 คือยุคแอนะล็อกและยุคที่ 2 คือยุคดิจิตอล ส่วนยุคที่ 3 คือยุคการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงการพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดียและส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้นโดยอุปกรณ์ที่ใช้นั้นเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสานการนำเสนอข้อมูลและเทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกันเช่น PDA, โทรศัพท์มือถือ , Walkman , กล้องถ่ายรูป , และอินเทอร์เน็ต 


3GPP (3rd Generation Partnership Project)
กลุ่มความร่วมมือระหว่างนักพัฒนาระบบมือถือบนโครงข่าย GSM, GPRS, EDGE, WCDMA เป็นหลัก เพื่อกำหนดมาตรฐานกลางในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ 3G 


3GPP (3rd Generation Partnership Project2)
กลุ่มความร่วมมือระหว่างนักพัฒนาระบบมือถือในรูปแบบเดียวกันกับ 3GPP แต่เน้นที่การกำหนดมาตรฐานกลางให้มือถือเครือข่าย
CDMA2000 และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง


3GP (third generation platform)
คือไฟล์ฟอร์มแมตชนิดหนึ่งที่ใช้บนมือถือสำหรับเก็บไฟล์วิดีโอและเสียงโดยฟอร์แมตนี้จะเก็บไฟล์วิดีโอที่มีการเข้ารหัสข้อมูลแบบ
MPEG 4 หรือ H.263 และไฟล์เสียงที่เข้ารหัสข้อมูลแบบ AMR-NB หรือ AAC-LC ค้นหารายละเอียดได้จาก www.3gpp.org


A2DP (Advanced Audio Distribution Profile)
คือ Profile อีกรูปแบบหนึ่งของเทคโนโลยี Bluetooth ที่พัฒนาและออกแบบมาเพื่อส่งข้อมูลเสียงในแบบสเตอริโอ ดังนั้นหากหูฟัง Bluetooth รุ่นใดมีเขียนบอกว่ารองรับ A2DP ก็หมายความว่าหูฟัง Bluetooth นั้นสามารถรองรับการฟังเพลงแบบสเตอริโอ ซึ่งหูฟังวปกติเสียงจะออกมาเป็นเสียงโมโนซึ่งทำให้เสียงเหมือนกันทั้งสองข้างไม่มีการแยกเสียงใดๆทำให้มิติอรรถรสในการฟังเพลงหมดไปอย่างชัดเจน (ดูที่Bluetooth)


Database
ความหมาย : ฐานข้อมูล
: ข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน และถูกรวบรวมไว้ให้เป็นฐาน สำหรับการค้นคืนข้อมูล
Bug ความหมาย : จุดบกพร่องหรือความผิดพลาดในโปรแกรมคอมพิวเตอร์
: ปัญหาที่เกิดขึ้นกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เนื่องจากคำสั่งในโปรแกรม
ปัญหาดังกล่าวทำให้การทำงานของโปรแกรมไม่ถูกต้องและมีข้อผิดพลาด
นอกจากนี้ปัญหาความผิดพลาดอาจเกิดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ได้เช่นกัน
browser
ความหมาย : เบราเซอร์, ชื่อเรียกไคลเอ็นต์ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเรียกดูเอกสาร HYPERTEXT หรือ
โปรแกรมเรียกดูเว็บไซต์
bus
ความหมาย : คือ วงจรทางเดินไฟฟ้า สำหรับเป็นสื่อในการรับส่งข้อมูล จากอุปกรณ์หนึ่งไปสู่อุปกรณ์หนึ่ง
หรือจากจุดหนึ่งไปยังจุดที่ต้องการ

Multimedia
ความหมาย : สื่อประสม, สื่อหลายแบบ คือ การใช้สื่อหลาย ๆ
ประเภทร่วมกันเช่นสื่อการสอนที่มีการนำเสนอด้วยภาพและเสียง พร้อมทั้งมีคำอธิบายด้วย
Keyword ความหมาย : คือ คำที่มีความหมายพิเศษสำหรับบางโปรแกรม เช่นคำที่เราต้องการค้นหาข้อมูลใน Search Engine Upload
ความหมาย : คือ การส่งข้อมูลจาก เครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง
ซึ่งโดยปกติจะอยู่ไกลออกไป